เตือนภัย!เลือกเนื้อสัตว์ สารพัดกลยุทธ์ใส่สารพิษคงความสด


ใครจะเชื่อ คนไทยด้วยกัน ทำร้ายกันด้วยการใส่ของที่ไม่ควรกินให้คนกิน!!!

ประเด็นข่าวใหญ่เกี่ยวกับเรื่อง ไก่ เนื้อสัตว์ชนิดโปรดของใครต่อหลายคน ที่นิยมนำมาปรุงอาหารในหลากรูปแบบ ทั้งไก่ทอด ไก่ปิ้ง ไก่ย่าง ต้มข่าไก่ แถมยังแปรรูปเป็นไส้กรอก เป็นลูกชิ้น อาหารมื้อว่างของคนอยากอิ่มเบา ที่พ่อค้าหัวใสลักลอบนำซากไก่ตายที่รับซื้อจากฟาร์มหลายแห่งในราคาตัวละ 3 บาท มาชำแหละไปจำหน่าย แถมยังแช่ฟอร์มาลินหรือน้ำยาดองศพในพื้นที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ผสมดินประสิวเพิ่มสีสันให้ไก่เนื้อแดงอีกด้วย



ไม่น่ายกย่องความช่างคิดของคนทำ แต่น่ารังเกียจมากกว่าที่ทำร้ายคนบริโภคด้วยกันเอง...

เภสัชกร วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร ผู้อำนวยการศูนย์วิทยา ศาสตร์การแพทย์ที่ 7 อุบลราชธานี และผู้รับผิดชอบโครงการปฏิวัติน้ำมันทอดซ้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคอย่างมาก ซึ่งจากการสำรวจในท้องตลาดพบว่า ฟอร์มาลิน มักถูกนำมาใช้ในการถนอมอาหารประเภทอาหารทะเล หรือแม้แต่ผ้าขี้ริ้ววัว ที่ปกติมีสีคล้ำ แต่เมื่อใส่ฟอร์มาลินผสมไป ก็เหมือนเป็นการฟอกขาวให้ผ้าขี้ริ้วมีสีขาวสวยน่ารับประทานขึ้น แต่สำหรับการผสมในเนื้อไก่นั้นเพิ่งเคยพบ ซึ่งอันตรายจากฟอร์มาลินหากเข้าตา จะส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองตาเพราะมีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก หากรับประทานเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ทำลายระบบทางเดินอาหาร และหากได้รับเข้าสู่ร่างกายในจำนวนมาก จะส่งผลต่อระบบไต ระบบขับถ่ายปัสสาวะ เป็นต้น และแม้จะใช้ความร้อนในการปรุงสุกอาหาร ก็ไม่สามารถล้างสารพิษจากฟอร์มาลินได้

นอกจาก “ฟอร์มาลิน” ต้นเหตุสำคัญของการดองไก่ก็ว่าได้ ผู้ประกอบการยังผสมดินประสิวเพื่อทำให้ไก่มีสีสด โดยดินประสิวหรือโพแทสเซียมไนเตรต ที่ทางภาคเหนือนั้นจะขาว นำมาเป็นส่วนผสมของดอกไม้เพลิง ใช้ทำดินปืน ทำดอกไม้เพลิง หรือใช้ใส่อาหารหมักดอง เช่น กปลาร้า ปลาเจ่า แหนม เรื่องนี้ เภสัชกร วรวิทย์ บอกว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อนุญาตให้ผสมในอาหารได้ในปริมาณที่กำหนด คือ ใช้ไนเตรทได้ไม่เกิน 500 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม และไนไตรท์ไม่เกิน 125 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารบูดเน่า ช่วยระงับการเจริญเติบโตของเชื้อคลอสตริเดียม โบทูไลนัม หรือเพื่อรักษาสีของเนื้อสัตว์ให้ดูใหม่สดนั่นเอง

ขณะที่ฟอร์มาลินนั้นห้ามผสมในอาหารอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ หากผสมดินประสิวในปริมาณที่ สธ.กำหนด ร่างกายสามารถขับถ่ายออกมาได้เอง แต่หากได้รับในปริมาณมากก็จะส่งผลต่อร่างกายเช่นกัน โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก แน่นหน้าอก มีผลต่อเม็ดเลือดแดงในร่างกาย ดัง นั้น การเลือกซื้อไก่รับประทาน ควรเลือกดูลักษณะความสดของไก่ เนื้อแน่น ไม่มีกลิ่นเหม็น และเลือกซื้อในสถานที่สะอาด และปลอดภัย อย่างเช่น ในตลาดสดน่าซื้อ ตามที่ สธ.จัดทำประกาศรับรองไว้ก็ได้

เภสัชกร วรวิทย์ บอกอีกว่า สำหรับมาตรการป้องกันนั้น อยากให้เกิดขึ้นในระยะยาว หลายเรื่องหากรอให้ภาคราชการดูแลอย่างเดียวคงจะลำบาก ดังนั้นชุมชน-ผู้บริโภคเองต้องมีความเข้มแข็ง ช่วยกันเป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแล หากพบสิ่งผิดปกติก็ควรแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ อาทิ สายด่วน อย.1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เป็นต้น เพราะหากชุมชนเข้มแข็งก็จะถือเป็นเกราะป้องกันในพื้นที่ได้ดีอีกชั้นหนึ่ง ขณะเดียวกันภาครัฐก็ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ทั้งกระบวนการการให้ความรู้ต่อประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาคงานวิจัย ก็ต้องมีการศึกษา สำรวจ และจัดทำชุดความรู้ให้แก่ประชาชนสามารถนำไปใช้ได้เอง

“หลายเรื่องที่เป็นประเด็นขึ้นมา เป็นเรื่องที่ประชาชนเป็นฝ่ายเรียกร้องให้หันมาดูแล ซึ่งถือเป็นเรื่องดี ที่ชุมชนมีความเข้มแข็ง เพราะชุมชนจะดูแลครอบคลุมในพื้นที่ที่ขนาดพอเหมาะ ก็ถือเป็นอีกทางหนึ่งในหลักประกันระยะยาว ผู้บริโภคเองก็ต้องเข้าใจสิทธิคุ้มครองตนเอง หากคนในพื้นที่พบเห็นอะไรผิดปกติ ก็ควรแจ้งมาที่หน่วยงานที่รับผิดชอบ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการผลักภาระแก่ผู้บริโภค แต่นับเป็นมาตรการระยะยาวได้ ยกตัวอย่างผมดูงานวิจัย ที่ผ่านมาก็พยายามทำงานวิจัยชุดความรู้ อย่างกรณีดินประสิว ที่ผสมในปลาส้ม จากที่กำหนดไว้ไม่เกิน 125 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ผมลงสำรวจในพื้นที่ภาคอีสานก็พบเกือบ 20 เท่าก็มี ซึ่งก็ต้องช่วยเหลือให้ความรู้แก่ชาวบ้าน แนะนำให้ใช้ปลาส้ม 10 กิโลกรัม ผสมสารดินประสิวเพียง 10 กรัม ไม่ส่งผลต่อรสชาติที่เปลี่ยน หรือสีก็ยังสวยน่ารับประทาน สารก็ตกค้างอยู่ไม่ถึง 4 มิลลิกรัมด้วยซ้ำ เป็นต้น เภสัชกร วรวิทย์กล่าว

ปัจจุบันนี้โลกวันนี้เปลี่ยนแปลง ไปมาก ผู้ค้า ผู้ขายต่างแก่งแย่งแข่งขันกันเพื่อเม็ดเงิน หวังแต่ประโยชน์ส่วนตน ไร้การคำนึงถึงส่วนรวม กระทบถึงสุขภาพผู้บริโภค ดังนั้น คงเป็นอย่างที่เภสัชกรวรวิทย์แนะนำไว้ว่า เราทุกคนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพราะไม่ใช่หน้าที่ใครจะดูแล ถ้าเราไม่ดูแลตัวเอง

การระบาดของเชื้ออีโคไลในเยอรมนี

สถานการณ์ การระบาดของเชื้อแบคทีเรียอีโคไล.ในเยอรมนี ล่าสุดเริ่มมีสัญญานว่าการระบาดอยู่ในภาวะคงที่ และมีแนวโน้มสถานการณ์จะไม่รุนแรงไปมากกว่านี้
เจ้า หน้าที่สาธารณสุขยุโรป เปิดเผยว่าขณะนี้เริ่มมีสัญญานว่า การแพร่ระบาดของเชื้อแบคทีเรียอีโคไลเริ่มคงที่ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ผู้ป่วยที่รับเชื้ออีโคไลที่เข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลทางเหนือของเยอรมนี ลดน้อยลง แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดยุติแล้ว
สำหรับ ยอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อแบคทีเรียอีโคไล ยังอยู่ที่ 18 คน ติดเชื้อ 1,836 คน นับตั้งแต่ที่มีการตรวจพบเชื้อดังกล่าวครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ขณะที่ ศูนย์ด้านโรคระบาดในเยอรมนี ยังคงเตือนประชาชนหลีกเลี่ยงการรับประทานแตงกวา มะเขือเทศ และผักกาดหอม อย่างไรก็ตามศูนย์ห้องแล็ปตรวจสอบอีโคไลของอียูในกรุงโรม บอกว่า การประกาศเตือนดังกล่าวไม่สมเหตุผล เนื่องจากยังไม่มีการตรวจสอบทางวิทยาศาตร์ที่ชี้ชัดว่า ผักดังกล่าวเป็นแหล่งต้นตอการแพร่ระบาด
การแพร่ ระบาดของแบคทีเรียอีโคไล ทำให้เกิดความหวั่นวิตกไปทั่วโลกและเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของเกษตรกร ยุโรปเลยทีเดียว ทั้งนี้รัสเซีย ตลาดส่งออกผักรายใหญ่ของยุโรปได้ออกมาปฏิเสธคำร้องขอของยุโรปที่ให้ยกเลิกคำ สั่งห้ามนำเข้าผักสดยุโรป ขณะที่อังกฤษกำลังถกเครียดว่า ควรห้ามนำเข้าผักที่ผลิตในเยอรมนีหรือไม่ ส่วนสหรัฐฯเริ่มให้มีการมีการตรวจสอบการขนส่งสินค้าจากเยอรมนีและสเปนแล้ว
รายงานระบุว่า ผู้ปลูกแตงกวาในแคว้นแซ็กโซนี่ของเยอรมนีต้องทำลายแตงกวาและมะเขือเทศไปกว่า 200 ล้านผลเพียงวันเดียว

ทั้ง นี้รัฐบาลเยอรมนีก็เร่งค้นหาแหล่งต้นตอการแพร่ระบาดอย่างเต็มที่ ล่าสุดกำลังตรวจสอบร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เมืองลูเบ็ค ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เผยว่า กำลังตรวจสอบว่าการแพร่ระบาดเริ่มขึ้นที่งานเทศกาลที่ฮัมบรูก์ เมื่อเดือนที่แล้วหรือไม่ ซึ่งในงานนั้นมีประชาชนและนักท่องเที่ยว 1.5 ล้านคน และร้านอาหารดังกล่าวในเมืองลูเบ็ค ก็เป็นร้านที่มาร่วมงานเทศกาลนี้ รายงานระบุว่า ลูกค้าหญิง 8 คนซึ่งเป็นนักท้องเที่ยวชาวเดนมาร์คล้มป่วยเมื่อรับประทานอาหารของร้าน ขณะที่เจ้าหน้าที่สรรพากรหญิงเยอรมนีที่รับประทานอาหารของร้านเสียชีวิตจาก การติดเชื้ออีโคไล อย่างไรก็ตามเจ้าของร้านงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ก็บอกว่า พนักงานของร้านและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ป่วยจากเชื้อดังกล่าว อย่างไรก็ตามได้มีการสั่งตราวจสอบบริษัทที่ขนส่งวัตถุดิบให้กับร้านอาหาร เพื่อหาแหล่งต้นตอการแพร่ระบาดที่แท้จริงด้วย

รายงาน ล่าสุดจากองค์การอนามัยโลก เผยว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของเชื้อแบคทีเรียอีโคไล.ในยุโรป มี 19 คน และกว่า 2,000 คนในอย่างน้อย 12 ประเทศล้มป่วย ในจำนวนผู้เสียชีวิต 18 คนอยู่ในเยอรมนี และ 1 คนในสวีเดน


ที่มา : www.krobkruakao.com