สาระประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว

1. น้ำมันมะพร้าวเป็นโทษกับร่างกายหรือไม่ ?

วงการแพทย์และนักโภชนาการสมัยใหม่ค้นพบแล้วว่า น้ำมันมะพร้าวไม่เป็นโทษกับร่างกายเลย อันที่จริงสิ่งที่ให้โทษกับร่างกายคือน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีหรือน้ำมันพืช ที่เราใช้ปรุงอาหารอยู่ในปัจจุบัน ดังที่เป็นข่าวในอเมริกาว่า ผู้ดำเนินกิจการอาหารฟาสท์ฟู้ดถูกฟ้องฐานทำให้ผู้บริโภคเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะ ใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มีกรดไขมันทรานส์มาปรุงอาหาร

ในทางกลับกันน้ำมันมะพร้าวกลับช่วยป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง ไม่ทำให้อ้วนเพราะเผาผลาญได้เร็วจึงไม่สะสม และไม่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น และความที่เป็นกรดไขมันอิ่มตัวจึงช่วยควบคุมการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันใน ร่างกาย ช่วยลดอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณดี ไม่เหี่ยวย่นแก่ก่อนวัย

น้ำมันมะพร้าวไม่เป็นโทษแม้แต่กับเด็กเล็ก เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริค ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้มากในน้ำนมแม่นั่นเอง วิธีรับประทานน้ำมันมะพร้าวที่ดีที่สุดคือใช้น้ำมันมะพร้าวแทนน้ำมันพืชชนิด อื่นๆในการปรุงอาหาร หรือจะรับประทานเป็นอาหารเสริมก็ได้ ผู้ใหญ่รับประทานวันละ 3-4 ช้อนชา เด็กวันละ 1-2 ช้อนชา โดยเฉลี่ยแบ่งรับประทานทีละน้อยจนครบจำนวนในแต่ละวัน หรือจะผสมในเครื่องดื่มร้อนๆเช่นโกโก้ร้อนหรือน้ำผลไม้อุ่นๆก็ได้ น้ำมะเขือเทศอุ่นผสมน้ำมันมะพร้าวมีรสชาติอร่อยมาก.


2. คุณภาพของน้ำมันมะพร้าวที่ดี ดูได้จากอะไรบ้าง ?

คุณภาพของน้ำมันมะพร้าว เบื้องต้นดูได้จากมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข โรงงานที่ผลิต และน้ำมันมะพร้าว ผ่านการตรวจสอบจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีความใสไม่มีสี ปราศจากสารปนเปื้อน มีกลิ่นหอม ได้รับการรับรองและเลขสารบบ อย. บนฉลากขวด
แต่ก็สามารถตรวจสอบคุณภาพได้ด้วยตนเองง่ายๆ ดังนี้

2.1. ความใส น้ำมันที่สะอาดจะมีความใส ลักษณะโปร่งแสง แต่อาจเปรียบเทียบคุณภาพความใสที่แตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อได้ไม่ชัดเจน เนื่องจากไม่ได้อยู่ในขวดลักษณะเดียวกัน สีของพลาสติกหรือแก้ว อาจทำให้มีอิทธิพลกับสีได้บ้าง

2.2. กลิ่น ความหอมของน้ำมันมะพร้าว ต้องหอมอ่อนให้ความรู้สึกว่าเป็นน้ำมันสดใหม่ ไม่มีกลิ่นหืน หรือเปรี้ยว ถึงแม้ว่าจะเปิดใช้แล้วกลิ่นต้องไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยังมีผู้ผลิตบางรายดัดแปลงกลิ่น โดยใช้น้ำหอมสังเคราะห์กลิ่นมะพร้าว หรือ กลิ่นมะพร้าวน้ำหอมเข้าไป วิธีนี้จะทำให้มีกลิ่นหอมมากในตอนเปิดขวดหรือเปิดใช้ หลังจากนั้นความหอมจะจางลง และเปลี่ยนเป็นเหม็นเปรี้ยว และทำให้อายุของน้ำมันมะพร้าวอยู่ได้ไม่นาน

2.3. ความเบา น้ำมันมะพร้าวคุณภาพดี จะมีความเบา มีความหนืดน้อยมาก เวลารับประทานจะผ่านลำคอได้ง่ายและเร็ว มีความรู้สึกเหมือนละลายในปาก ในขณะที่กลืนลงคอไม่มีกลิ่นรุนแรง ไม่เลี่ยน

2.4. ความซึมเข้าสู่ผิว น้ำมันมะพร้าวคุณภาพดี จะมีโมเลกุลเล็ก ทำให้ซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว ไม่ทิ้งคราบน้ำมันลอยอยู่บนผิว



3. ใช้น้ำมันมะพร้าวทำอาหารแล้วมีกลิ่น / เทคนิคการรับประทานน้ำมันมะพร้าว

กลิ่นของน้ำมันมะพร้าวมีเหตุผล 2 ลักษณะ คือ
1. ความเคยชินของการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่ใช้สารเคมีฟอกสี ฟอกกลิ่นออกจนหมดจึงไม่ได้กลิ่นเวลาทำอาหาร

2. น้ำมันพืชบริสุทธิ์ทุกชนิดจะมีกลิ่นเฉพาะตัว เนื่องจากไม่ได้ใช้สารเคมีใดเข้าไปดัดแปลง น้ำมันมะพร้าวก็เช่นกัน จะมีกลิ่นเฉพาะของน้ำมันมะพร้าว หากผู้บริโภคไม่เคยชิน อาจใส่ใบเตยหรือหอมซอยลงไปในน้ำมันก่อนทอด จะทำให้กลิ่นของน้ำมันมะพร้าวลดลงได้มาก

เทคนิคการับประทานน้ำมันมะพร้าวในรูปแบบต่าง ๆ

1. ใส่ผสมในน้ำผลไม้ (สูตรของ ดร.ณรงค์โฉมเฉลา ใส่ลงในน้ำส้มคั้นรับประทานทุกวัน)
2. ใส่ในแกงจืด อาหารแกงต่างๆ
3. ใช้เป็นน้ำสลัด
4. ราดบนน้ำแข็งใส ไอศกรีม (สูตรนี้เด็กชอบรับประทาน)
5. ใช้ทอดอาหาร อาหารจะไม่ชุ่มน้ำมัน และมีความกรอบได้นาน
6. ใส่ลงไปพร้อมการหุงข้าว จะทำให้ได้ข้าวนุ่ม หอม อร่อย (สูตรพิเศษใส่กระเทียมเล็ก 5-6 กลีบ และใบเตยโรยเกลือนิดหน่อยจะยิ่งทำให้อร่อยมากขึ้น)


4. เวลาน้ำมันมะพร้าวเป็นไข


น้ำมันและไขมันมีความแตกต่างกันอย่างไร น้ำมัน และไขมันมักจะถูกใช้แทนที่กันเสมอ น้ำมันมีสถานะเป็นของเหลว ส่วนไขมันมีสถานะเป็นของแข็ง น้ำมันทุกชนิด สามารถกลายเป็นไขได้ แต่ด้วยอุณหภูมิที่แตกต่างกัน น้ำมันมะพร้าวเป็นไข (แข็งตัว มีลักษณะเป็นครีมขาว) ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25๐c เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นน้ำมันอิ่มตัวสูง จึงเปลี่ยนเป็นไขเร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่น ทำให้น้ำมันมะพร้าวมีสภาพเป็นครีมขาว ณ ที่จุดวางขาย หากมีอุณหภูมิเย็น (และจะเปลี่ยนกลับเป็นน้ำมันใสดังเดิมที่อุณหภูมิสูงกว่า 25?c)

ไขของน้ำมันมะพร้าวไม่ใช่น้ำมันเสีย แต่กลับเป็นสัญลักษณ์ของน้ำมันชนิดดี ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อคุณซื้อมาจากชั้นวางขาย หรือวางไว้ในห้องแอร์ น้ำมันมะพร้าวอาจเป็นไขได้ คุณเพียงแต่ละลายไขนั้นด้วยการนำออกไปวางในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ หรือวางไว้ในบริเวณที่ใกล้แสงแดด (ไม่ควรตากแดด เพราะหากลืมทิ้งไว้เป็นเวลานาน ความร้อนที่สะสมอาจมีผลกับภาชนะบรรจุ)

ถึงแม้น้ำมันมะพร้าวจะเป็นผลิตผลของพืชเมืองร้อน แต่กลับเป็นที่นิยมของคนที่อยู่ในเขตหนาว การเป็นไขของน้ำมันมะพร้าวจึงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น ภาชนะที่ใช้ให้เหมาะสมจึงใช้เป็นกระปุกปากกว้าง เพื่อใช้ตักแทนการเทริน และขณะนี้การสั่งน้ำมันมะพร้าวออกไปขายยังประเทศเหล่านั้นไม่เพียงพอต่อความ ต้องการ


5. SHELF LIFE ของน้ำมันมะพร้าว

น้ำมันมะพร้าวที่ดีจะมี SHELF LIFE (อายุของผลิตภัณฑ์) นานมาก MCFAS (กรดไขมันสายปานกลาง) จะมีคุณสมบัติเป็นสาร ANTIOXIDANTS ทำให้ป้องกันการเสียได้นาน จากผลทดลองในห้อง LAB ของฟิลิปปินส์ น้ำมันมะพร้าวที่บรรจุในกระปุกและเปิดฝาทิ้งไว้ มี SHELF LIFE นานกว่า 5 ปี

แต่ถ้าน้ำมันมะพร้าวมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หรือ หืนแล้ว ไม่ควรรับประทาน เพราะกลิ่นที่เปลี่ยนไปนี้เกิดจากมีความชื้นเข้าไปรวมตัวกับน้ำมันมะพร้าว เกิดเป็นสารอนุมูลอิสระ

เพราะฉะนั้นศัตรูที่สำคัญที่สุดของน้ำมันมะพร้าว คือความชื้น ขั้นตอนการ DRY OIL คือการกำจัดความชื้นออกจากน้ำมันมะพร้าว เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดขั้นตอนหนึ่ง ดังนั้นเมื่อต้องการน้ำมันมะพร้าวที่ดี การดมกลิ่นจึงสามารถใช้เป็นมาตรฐานการเลือกซื้อเบื้องต้นได้ และหลังจากเปิดใช้แล้วควรเก็บให้ห่างจากการเปียกน้ำ และความชื้น จะทำให้มีอายุการใช้งานได้นาน


6. ทำไมรับประทานน้ำมันมะพร้าวแล้วท้องระบาย และทำไมรับประทานน้ำมันแต่ละยี่ห้อท้องระบายไม่เท่ากัน

ในลำไส้ใหญ่ของเราจะอุดมไปด้วย PROBIOTIC แบคทีเรียชนิดดีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำหน้าที่ควบคุมเชื้อยีสต์ และเชื้อรา (ซึ่งเป็นสาเหตุของลำไส้ใหญ่อักเสบ เชื้อราในช่องคลอด) เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ซึ่งมีมากใน ผัก ผลไม้ PROBIOTIC จะใช้เอนไซม์ช่วยย่อย สิ่งที่ได้หลังการย่อย จะได้เป็นกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) และกรดไขมันสายปานกลาง (MCFAs) ในสภาวะที่อุดมไปด้วยกรดไขมันนี้เป็นสภาวะที่เอื้อให้ PROBIOTIC เพิ่มจำนวนขึ้นมากอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การย่อยในลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพสูง จึงขับถ่ายเร็วขึ้น และขับของเสียออกมาอย่างสะดวกสบายท้อง

น้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดไขมันสายปานกลาง (MCFAs) จึงมีผลต่อ PROBIOTIC ทันทีที่น้ำมันเดินทางไปถึงลำไส้ใหญ่ ดังนั้นหลังจากรับประทานน้ำมันมะพร้าวไปได้ไม่นาน จะรู้สึกเป็นการกระตุ้นลำไส้ให้ขับถ่าย บวกกับคุณสมบัติความลื่นของไขมันจึงช่วยส่งเสริมให้การขับถ่าย ไหลลื่น สะดวดรวดเร็ว

การขับถ่ายที่สะดวกนี้ไม่เหมือนการขับถ่ายที่เกิดจากการรับประทานอาหารผิด สำแดง ไม่มีโทษใดๆ กับร่างกายไม่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เนื่องจากเสียเกลือแร่ ไม่มีผลอันตรายใดๆ เกิดขึ้นเหมือนเช่นรับประทานยาระบาย เพียงแต่ให้คอยสังเกตว่า ลำไส้ของเรามีความไวต่อเรื่องนี้มากน้อยอย่างไร ปรับจำนวนการรับประทาน และเวลาที่สะดวกในการขับถ่าย ก็จะเหมาะสมและสะดวกขึ้น

นอกจากคุณสมบัติของ MCFAs ที่ช่วยให้การขับถ่ายมีประสิทธิภาพดีแล้ว และหากคุณใช้น้ำมันมะพร้าวพร้อมกันหลายยี่ห้อและให้ผล จำนวนการรับประทานที่แตกต่างกัน เช่นบางยี่ห้อรับประทานเพียง 1 ช้อนโต๊ะ บางยี่ห้อต้องรับประทานถึง 2 ช้อนโต๊ะ จึงจะมีผลในการขับถ่ายเหมือนกัน ให้สันนิษฐานเบื้องต้นว่ามีความแตกต่างกันที่ความสะอาดในการผลิต ยี่ห้อที่รับประทานถึง 2 ช้อนโต๊ะน่าจะมีความสะอาดในการผลิตมากกว่า และควรกลับไปพิจารณาเปรียบเทียบในคุณสมบัติข้ออื่นๆ (จากหัวข้อวิธีดูคุณภาพน้ำมันมะพร้าว ดูได้อย่างไร) หรือสอบถามได้โดยตรงกับผู้ผลิต



7. ทำไมต้องเลือกชนิดน้ำมันสำหรับทอด หรือ ผัด

คุณสมบัติของน้ำมันนั้นขึ้นอยู่กับความอิ่มตัว และความยาวของโมเลกุล

น้ำมันที่มีความอิ่มตัวสูง จะมีคุณสมบัติคงสภาพและทนต่อความร้อนได้ดี เมื่อโดนความร้อน หรือความร้อนสูงที่ใช้ในการทอด โมเลกุลก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากไม่ยอมให้ ไฮโดรเจน หรือออกซิเจน เข้าไปจับตัวเพิ่ม (ขบวนการ OXIDATION ที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ)

น้ำมันที่ไม่อิ่มตัว เนื่องจากแขนของโมเลกุลยังมีช่องว่างอยู่ ไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจน จึงเข้าไปจับตัวได้ง่าย เกิดการ OXIDATION เกิดเป็นอนุมูลอิสระ และทำให้น้ำมันเสียได้เร็ว
สาเหตุที่ทำให้น้ำมันเสียมีอยู่ 5 วิธี
1. แสงสว่าง
2. ความร้อน
3. ออกซิเจน
4. ไฮโดรจิเนต (การเติมไฮโดรเจนเข้าไป เพื่อเปลี่ยนจากไขมันไม่อิ่มตัวเป็นอิ่มตัว ไขมันชนิดนี้อันตรายต่อสุขภาพมาก เรียกว่า TRANS FAT)
5. โฮโมจิไนซ์ การทำให้ไขมันแตกตัว

ในขบวนการผลิตน้ำมันผ่านกรรมวิธี โมเลกุลของน้ำมันได้ถูกรบกวนและเกิดเป็นอนุมูลอิสระไปแล้วในระดับหนึ่ง และถ้านำมาใช้ซ้ำอีกขบวนการเกิด TRANS FAT จะเกิดขึ้นได้สูงมาก

ปัจจุบันคนไทยมีความรู้สึกที่ดีมากกับน้ำมันมะกอก (VIRGIN OLIVE OIL) ให้ค่านิยมว่าเป็นน้ำมันสุขภาพ และนำมาใช้ปรุงอาหารทุกชนิดในครัว

ถึงแม้ว่าน้ำมันมะกอกจะมีกรดโอเลอิกที่มีประโยชน์มากต่อร่างกาย แต่กลับมีปริมาณไขมันอิ่มตัวเพียง 14% ปริมาณไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง 77% และปริมาณไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง 9% ด้วยคุณสมบัตินี้ทำให้น้ำมันมะกอกไม่มีความคงทนต่อความร้อน จึงควรใช้ประกอบอาหาร เช่น น้ำสลัด หรือ การผัดอาหารที่ใช้น้ำมันไม่มาก และไม่ใช้ความร้อนสูง

ดังนั้นถ้าต้องการทอดอาหารหรือปรุงอาหารโดยใช้ความร้อนสูง อย่างสบายใจจึงควรใช้น้ำมันที่ผลิตโดยวิธีบีบเย็น (COLD PRESSED) และมีความอิ่มตัวสูงเท่านั้น เนื่องจากมีคุณสมบัติทนต่ออากาศ แสง และความร้อนได้ดี ส่วนน้ำมันพืช COLD PRESSED ชนิดอื่นๆ เมื่อเปิดใช้แล้วควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อป้องกันการเกิด OXIDATION จากอากาศและแสง


ที่มา : http://www.baanmaha.com/community/thread22292.html

โรคข้อเข่าเสื่อมและกระดูกพรุน

โรคข้อเข่าเสื่อมนี้เกิดจากการเสื่อมตามอายุขัยส่วนใหญ่ เกิดกับข้อใหญ่ๆ เช่น ข้อสะโพก ข้อเข่าและข้อกระดูกสันหลัง

สาเหตุ
ปัญหา ปวดเข่าพบได้มากในผู้สูงอายุหญิงมากกว่าชาย เนื่องจากขนบธรรมเนียมไทยที่ต้องนั่งคุกเข่าพับเพียบ ขัดสมาธิ ซึ่งเป็นท่าที่ทำให้ข้อเข่าถูกกดพับ และเอ็นกล้ามเนื้อถูกยึดมาก การนั่งเช่นนั้นนานๆ ทำให้การหมุนเวียนของเลือดไปเลี้ยงเข่าไม่ได้ดี และเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย อีกทั้งต้องทำงานหนักไม่มีการพัก ประกอบกับน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เข่าต้องแบกน้ำหนักส่วนเกินนั้น กล้ามเนื้อจึงหย่อนสมรรถภาพลง จึงทำให้เป็นโรคเข่าเสื่อมได้ง่าย


อาการเริ่มแรกที่เตือนให้รู้ว่าเข่ากำลังมีปัญหา
เจ็บปวด เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด อาจเป็นปวดแบบเมื่อยๆ พอทน ปวดแบบเป็นๆ หายๆ หรือในรายที่เข่าได้รับบาดเจ็บ จะปวดแบบเฉียบพลันและปวดรุนแรง
เข่าบวม เข่าที่บวมทันทีภายหลังจากได้รับบาดเจ็บ มักเกิดจากมีเลือดออกภายในข้อเข่า บวมที่เกิดขึ้นช้าๆ มักเกิดจากมีความผิดปกติขององค์ประกอบภายในข้อเอง
เข่าอ่อนหรือเข่าสะดุดติด อาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ แต่ที่พบบ่อยคือ เกิดจากมีบางสิ่งบางอย่างภายในข้อ ทำให้งอ หรือเหยียดเข่าในทันทีทันใดไม่ได้ เช่น เส้นเอ็นหรือกระดูกอ่อนที่ฉีกขาด หรือเศษกระดูกที่หยุดอยู่ในข้อ
เข่าฝืดหรือยึดติด อาจเป็นเฉพาะบางช่วงเวลาของวัน เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอน นั่งนานๆ แล้วลุกขึ้น หรือเกิดขึ้นภายหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ข้อเข่า
เมื่อ ปรากฎอาการดังกล่าวแล้วแสดงว่า ท่านเริ่มมีปัญหาของข้อเข่า ควรให้ความสนใจอย่างจริงจัง และพิจารณาดูว่า มีอะไรเป็นสาเหตุดังกล่าว จะเป็นต้องเริ่มต้นฝึกออกำลังกล้ามเนื้อของข้อเข่าให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะให้หลักประกันได้ว่า ท่านจะสามารถยืนและเดินอยู่บนขา และเข่าของตนเองได้ตลอดไป


วิธีป้องกันและการปฏิบัติ
- ควบคุมไม่ให้อ้วนเกินไป โดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
- บริหารกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อนั้นให้แข็งแรง (วิธีการบริหารดูในการออกกำลังกาย)
- ลดการใช้งานข้อนั้นในท่าที่ผิดจากธรรมชาติ เช่น การนั่งยองๆ การนั่งพับเพียบ คุกเข่าและการนั่งขัดสมาธินานเกินไป เป็นต้น
- ขณะที่มีอาการปวด ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อให้การรักษาภาวะอักเสบของข้อ แล้วเริ่มทำกายภาพบำบัดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

โรคกระดูกพรุน (osteoporosis)
เป็น โรคที่พบได้ในผู้สูงอายุทุกคน เป็นภาวะที่มีการกร่อนของเนื้อกระดูก เนื่องจากมีความผิดปกติในการสร้างสารเนื้อกระดูก ทำให้กระดูกอ่อนตัวลง สาเหตุที่สำคัญอันหนึ่ง คือ การทำงานของฮอร์โมนที่ลดลงในผู้สูงอายุ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย การเคลื่อนไหวลดลง ภาวะกระดูนทรุดยุบมีอาการ การเคลื่อนไหวลดลง ปวดหลัง หลังค่อมทำให้ความสูงลดลง กระดูกหักง่าย แม้มีอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย

การป้องกัน
  • ออกกำลังกายเป็นกิจวัตร โดยเฉพาะกลางแจ้ง ตอนที่มีแดดอ่อนๆ เช่น เวลาเช้าหรือเย็น
  • เมื่อมีความเจ็บป่วยไม่ว่าจากสาเหตุใด ควรรีบทำกายภาพบำบัด หรือเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้เร็วที่สุดเท่าที่สภาพร่างกายจะเอื้ออำนวย
  • รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง วิตามินดีสูง เช่น ปลากระป๋อง ซึ่งสามารถรับประทาน, กระดูกปลาได้ นมพร่องไขมันเนย ผักผลไม้ เป็นต้น
  • งดการดื่มสุรา และสูบบุหรี่
  • ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เช่น ยาลูกกลอน เพราะมักจะมีสารพวกสเตียรอยด์ผสมอยู่ทำให้กระดูกพรุนได้
อาการปวดเมื่อยในผู้สูงอายุ
อาการ ปวดมาจากข้อต่อ บางคนจะบ่นปวดหลัง ปวดน่อง ปวดส้นเท้า ปวดคอ อาการปวดนี้เกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย สาเหตุของการปวดเมื่อยที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะในการเคลื่อนไหวของร่างกายแบ่ง ได้เป็น 5 พวกใหญ่ๆ ประกอบด้วย


อาการปวดเมื่อยที่พบบ่อย
  1. ปวดเมื่อยที่มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อ จะแสดงออกด้วยอาการปวดเมื่อย เมื่อยล้ามักจะบอกตำแหน่งที่ปวดไม่ค่อยชัดเจน
  2. ปวดเมื่อยที่มีสาเหตุจากเส้นเอ็น อาการปวดจากเส้นเอ็นจะเป็นการปวดเฉพาะที่ปวดมากเวลาถูกกดและเมื่อมีอาการ เคลื่อนไหว พบบ่อยบริเวณไหล่ ส้นเท้า บริเวณมือและบริเวณเอ็นร้อยหวาย
  3. ปวดเมื่อยสาเหตุจากเส้นประสาท สาเหตุจากเส้นประสาทถูกกดถูกทับ ทำให้มีอาการปวดแสบปวดร้อน และร้าวไปตามเส้นประสาทส่วนนั้น มักจะมีอาการชาร่วมอยู่ด้วย พบบ่อยที่บริเวณหลังมีการถูกกดของเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวดร้าวจากหลังไปบริเวณน่องและปลายเท้าอีกตำแหน่งหนึ่งคือ บริเวณคอ เมื่อเส้นประสาทถูกทับจะมีอาการปวดร้าวจากคอไปบริเวณแขนและมือ
  4. ปวดเมื่อยจากเส้นเลือด พบบ่อยจากเส้นเลือดขอดบริเวณขาทำให้มีอาการปวดถ่วงๆ เส้นเลือดขอดจะโป่งออกมา ปวดมากเมื่อยืนนานๆ เมื่อนั่งหรือนอนยกขาสูงขึ้นอาการปวดจะลดลงได้
  5. ปวดจากข้อเป็นอาการที่ปวดจากข้อต่อ พบว่าในบริเวณที่เป็นจะบวมกว่าข้อต่อด้านตรงข้ามที่ปกติ อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อมีการขยับเขยื้อน ถ้าเป็นข้อต่อซึ่งใช้ในการลงน้ำหนัก เมื่อเดินจะปวดมากขึ้น และถ้างอข้อต่อมากอาการจะปวดมากขึ้นตามไปด้วย
อาการ ปวดเมื่อย ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แสดงถึงความเสื่อมของข้อต่อกระดูก ตลอดจนเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อต่อ จะพบสาเหตุที่ทำให้เกิดการปวดเมื่อย ดังนี้

สาเหตุที่ทำให้เกิดการปวดเมื่อย
  1. เริ่มมีการอักเสบของเส้นเอ็นบริเวณรอบๆ ข้อ เช่น ข้อไหล่ แล้วไม่ยอมใช้ไหล่ข้างนั้นๆ นานๆ เพราะกลัวเจ็บ
  2. ยกของหนักเกินไป ในท่าที่ไม่ถูกต้อง ทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาด หรืออักเสบ ปวดหลัง
  3. ท่านอน เช่น หนุนหมอนสูงเกินไป ที่นอนนิ่มเกินไป นอนตะแคงแล้วศีรษะห้อยลง หรือบิดทำให้ปวดต้นคอ ปวดบริเวณหลัง
  4. การที่ปล่อยตัวให้อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ เช่น นั่ง ยืน เดิน ศีรษะ งุ้มไปทางด้านหน้าหรือเงยจนมากเกินไป หรือเอนไปด้านใดด้านหนึ่งนานๆ ทำให้รู้สึกปวดเมื่อย
  5. เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ถูกกระแทก หรือหกล้ม อาจจะทำให้กระดูกหัก กล้ามเนื้อฉีกขาดหรือเกิดการอักเสบ ทำให้ปวดเมื่อยได้

การป้องกันและการรักษา
  1. อาการปวดหลัง เกิดจากการทรงตัวอยู่ในลักษณะท่าทางที่ไม่ถูกต้องนานๆ ป้องกันได้โดยวิธีการออกกำลังกายโดยการบริหารร่างกาย และปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง เช่น ยืนเอวไม่แอ่น หลังไม่ค่อม ศีรษะตั้งตรงไว้เสมอ
  2. อาการปวดเข่า มักจะเป็นกับคนอ้วนที่มีน้ำหนักมาก และคนที่มีลักษณะขาโก่ง ป้องกันได้โดยการลดน้ำหนักตัวและบริเวณข้อเข่า
  3. อาการปวดกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นที่อยู่รอบๆ ข้อ กล้ามเนื้อจะขนาดเล็กลง และมีการเคลื่อนไหวน้อยลง หรือเส้นเอ็นขาดได้ง่าย ป้องกันโดยทำให้ข้อมีการเคลื่อนไหว การยึด และกล้ามเนื้อมีการยืดหยุ่นตัวดีจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง

การช่วยเหลือตนเองโดยทั่วๆ ไป
1. ให้พักผ่อน หรือหยุดทำงานทันทีเมื่อรู้สึกปวดอย่างเฉียบพลัน
2. ประคบความร้อนบริเวณที่ปวด
3. นวดบริเวณที่ปวดกล้ามเนื้อ
4. ใช้อุปกรณ์ช่วยลดอาการปวด เช่น บริเวณคอใช้ปลอกคอ
5. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
5.1 โดยการจัดทำท่าให้ถูกต้อง
5.2 ให้มีการเคลื่อนไหวของข้อและข้อต่อไว้เสมอ
5.3 หมั่นออกกำลังกาย เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อลีบ และทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
6. ถ้าปวดมากให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

ที่มา : http://atcloud.com/stories/46898

ออรัลเซ็กซ์ แบบสะอาดและปลอดภัย

ก็คงต้องยอมรับว่า เรื่องของเซ็กซ์ในยุคปัจจุบันนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องคอยปกปิดเหมือนสมัยก่อน แต่เป็นเรื่องที่สามารถคุยกันได้อย่างค่อนข้างเปิดเผยทีเดียว นอกจากนั้นเรื่องเซ็กซ์ยังมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบต่างๆ อีกมากมาย และออรัลเซ็กซ์หรือการทำรักด้วยปากนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งอาจจะถือได้ ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่พบได้บ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน แต่ก็เข้าใจว่าหญิงไทยส่วนมากนั้นไม่ว่ายังไงก็ยังมีความเขินอายในเรื่องที่ ดูเหมือนไม่ธรรมดาเรื่องนี้อยู่ดี


     ออรัลเซ็กซ์นั้น ก็หมายความถึงการใช้ปากและลิ้นในการช่วยตอบสนองและปลดปล่อยความต้องการทาง เพศของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ทำและถูกทำกันได้ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายแหละ หลายคนมองว่าการใช้ปากในการทำรักนั้นน่ารังเกียจและเป็นเรื่องที่สกปรก แต่จริงๆ แล้วบริเวณอวัยวะส่วนสงวนของเรานั้นไม่ได้สกปรกอะไรมากมายอย่างที่คิดหรอก ค่ะ อย่ากังวลให้มากไปเลย (ดีไม่ดีปากบางคนยังจะสกปรกกว่าด้วยซ้ำ...)


     สำหรับการทำออรัลเซ็กซ์ให้กับทางฝ่ายชายนั้นก็ไม่ได้มีเทคนิควิธีการอะไร ที่พิสดารมากนัก แต่จะให้บอกละเอียดมากไปก็คงไม่เหมาะสม เอาเป็นว่าลองนึกภาพตอนเราเป็นเด็ก และได้ไอศกรีมแท่งมาสักแท่งหนึ่งก็แล้วกัน ปฏิบัติการอย่างว่านั้นก็เหมือนวิธีการที่เราจัดการกับไอศกรีมแท่งนั้นนั่น เอง ก็เป็นการใช้ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม และลิ้นในการช่วยปลดปล่อยอารมณ์ของเขา (อย่ากัดก็แล้วกัน!!!) หวังว่าคงจะพอนึกภาพออก ส่วนรายละเอียดเรื่องลีลาท่าทางนั้น ต่างคนต่างก็ชอบกันไปคนละแบบ ต้องคุยกันเอง


     สำหรับการเตรียมตัวในการทำออรัลเซ็กซ์นั้น ก็เพียงแต่ดูแลรักษาความสะอาดในช่องปากของคุณให้ดี บ้วนปาก แปรงฟันซะให้เรียบร้อย และก็คงต้องทำความสะอาดส่วนนั้นด้วยเช่นกัน อาบน้ำ ชำระล้างความสกปรกออกเสียให้หมด และอย่าลืมทำความสะอาดกันอีกครั้งหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจกันแล้ว ส่วนในประเด็นของการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ นั้น ถ้าไม่มีใครมีโรคอะไรอยู่ในตัว และปากกับอวัยวะส่วนสำคัญนั้นไม่มีบาดแผลอะไร ก็คงไม่ต้องกังวลกับการติดเชื้อเท่าใดนัก แต่ถ้าไม่แน่ใจ การใช้ถุงยางอนามัยก็จะช่วยป้องกันการติดโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี


     ออรัลเซ็กซ์นั้น ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องใช้ปากทำรักจนอีกฝ่ายหนึ่งไปถึงดวงดาวเสมอไป อาจใช้ในช่วงแรกของการทำรักเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องกระตุ้นอารมณ์อีกฝ่าย หนึ่งก่อนจะลงมือปฏืบัติการกันจริงก็ได้ จะดีหรือไม่อย่างไร ก็คงต้องทดลองดูเอง แต่ควรที่จะต้องคุยตกลงกันให้ดีเสียก่อน ให้สมัครใจกันทั้ง 2 ฝ่ายจึงจะดีที่สุด...

ที่มาจาก  women.thaiza.com

เซ็กส์...ถึงตาย !

Article : กฤตยกร แสงขาว นักจิตวิทยา

     เห็นหัวข้อแล้วคงทำให้หลายๆ คนนึกหวาดเสียวไปตามๆ กัน มันจะเป็นไปได้ขนาดนั้นเลยหรือ เซ็กส์อะไรกันทำให้คนตายได้ คุณผู้อ่านคงกำลังนึกถึง “การข่มขืนแล้วฆ่า” หรืออาจนึกไปถึง “เซ็กส์วิปริต หรือกามวิปริต (Paraphilia)” นึกภาพว่าตรงหน้ามีอุปกรณ์หลากชนิดประกอบการมีเพศสัมพันธ์ แล้วอุปกรณ์เหล่านี้เองที่ปลิดชีวิต บางคนอคิดว่าเพราะ “อกหัก” จึงตัดสินใจจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า หรืออาจเป็นเพราะ “พิษรักแรงหึง” ทำให้เผลอระบายความแค้นรุนแรงไปหน่อย แต่วันนี้เซ็กส์ที่เราพูดถึงนั้นเป็นเซ็กส์แบบที่ไม่ได้ทำให้เราตายโดยตรง แต่เป็นเซ็กส์ชนิดที่เมื่อเป็นแล้วคนที่เป็นกลับชอบด้วยซ้ำไป โดยไม่รู้ตัวว่านั่นเป็นอาการป่วย กว่าจะรู้ตัวชีวิตก็แทบไม่เหลืออะไรแล้ว แถมบางครั้งก็โดนคนในสังคมรังเกียจด้วยซ้ำไป น่าสนแล้วใช่ไหมครับ...

     เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ถ้าใครอ่านพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ก็คงจะได้เห็นเซ็กส์ที่พาให้หนุ่มใหญ่นายหนึ่งต้องจบชีวิตลงอย่างไม่น่า เชื่อ แล้วคนที่ทำให้เขาต้องจบชีวิตลงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน กลับเป็นภรรยาสุดที่รักของเขานั่นเอง โดยหลังเกิดเหตุแล้วแม้ว่าภรรยาจะอยู่ในอาการโศกเศร้าเพียงใด แต่ก็ไม่ลืมที่จะไปแจ้งความถึงการตายของสามี โดยตัวเธอเองนั่งเฝ้าศพสามีไม่หนีหายไปไหน นั่งร้องไห้รอให้ตำรวจนำตัวไปดำเนินคดี รายละเอียดของข่าวก็มีอยู่ว่า หนุ่มใหญ่อายุ 52 ปีรายนี้อยู่กับภรรยาอายุ 42 ปี โดยฝ่ายสามีนั้นเป็นคนชอบดื่มสุรา และมีอารมณ์ทางเพศสูงมาก ทุกคืนจะต้องขอร่วมเพศ 5-6 ครั้ง และแต่ละครั้งก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 30 นาทีจึงจะสำเร็จความใคร่ ในวันเกิดเหตุสามีหนุ่มใหญ่นั้นอยู่ในอาการมึนเมา และขอร่วมเพศกับภรรยาแต่ภรรยาไม่ยอม ฝ่ายสามีไม่พอใจจึงใช้ความรุนแรงเพื่อจะมีเพศสัมพันธ์ ภรรยาเลยสู้และพลั้งมือบีบคอสามีเสียชีวิตในที่สุด นั่นคือรายละเอียดเท่าที่ข่าวได้ให้ไว้ครับ

     เป็นไงบ้างครับความตายที่มากับเซ็กส์ นี่เป็นหนึ่งตัวอย่างของความไม่สมดุลทางเพศระหว่างคู่สามีภรรยาที่เกิดขึ้น จากความต้องการทางเพศที่ไม่เท่ากัน จนนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ดูตามรูปการณ์ของตัวสามีเองแล้ว ทางการแพทย์เรียกภาวะเช่นนี้ว่า “Hypersexual” หรือการที่มีความต้องการทางเพศที่มากมายเกินกว่าที่คนปกติต้องการ เรียกกันง่ายๆ ว่า “หมกมุ่นทางเพศ” ก็ได้เหมือนกัน ผมจะอธิบายตามเกณฑ์การวินิจฉัยที่มีผู้เสนอไว้ดังนี้

     Stein และคณะ ได้เสนอเกณฑ์การวินิจฉัย Hypersexual ไว้ดังนี้

      มีการคงอยู่ของการกระตุ้นทางเพศ การจินตนาการทางเพศ อย่างซ้ำๆ และรุนแรง หรือมีพฤติกรรมทางเพศที่เจ้าตัวยืนกรานที่จะทำ อยู่ในช่วงตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป และไม่ได้จัดเข้ากับกลุ่มกามวิปริต (Paraphilia) ในเนื้อข่าวไม่ได้บอกว่า ตัวสามีเองมีอารมณ์ทางเพศมากมายมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็เป็นการกระทำซ้ำๆ สม่ำเสมอและจำนวนมาก (5-6 ครั้งต่อคืน) แต่ถึงกระนั้นการกระทำแบบนี้ก็ยังไม่ได้จัดเป็นพวกกามวิปริต (เช่น ถ้ำมอง ชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก ฯลฯ)

      จินตนาการ การกระตุ้นทางเพศนั้น ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างมาก หรือทำให้การเข้าสังคม การทำงาน หรือสิ่งสำคัญในชีวิตอื่นๆ เสียหาย

     ข้อนี้ตามเนื้อข่าวไม่ได้บอกว่าฝ่ายสามีทุกข์ทรมานหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ความสัมพันธ์กับภรรยาก็คงไม่ค่อยจะดีซักเท่าไร เพราะความต้องการทางเพศที่ไม่เท่ากัน

      อาการที่เกิดขึ้นไม่เข้ากับเกณฑ์ความผิดปกติใน Axis I (เช่น ช่วงภาวะเพ้อคลั่ง (mania) อาการหลงผิด หรือหลงผิดคิดว่าคนอื่นมาชอบ)

       ตามเนื้อข่าวก็ไม่ได้กล่าวถึงอาการป่วยทางจิต จำพวกอาการหลงผิด หรืออะไรทั้งนั้น

      อาการที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นผลโดยตรงทางร่างกายที้เกิดจากการติดสารเสพติด (เช่น การใช้ยาผิดวิธี หรือการรักษา) หรือได้รับการรักษา เช่น การกินยาที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศมากกว่าปกติ

      แต่กรณีนี้อาจเป็นไปได้ว่าอาการ Hypersexual ที่เกิดขึ้นมาจากการดื่มสุราแล้วเกิดอารมณ์ทางเพศอย่างมาก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะไม่ถือว่านี่คือ Hypersexual ของจริง แต่ในรายนี้น่าจะเป็นของจริง เพราะต้องมีเพศสัมพันธ์ทุกวัน ซึ่งโดยปกติแล้วอาการ Hypersexual ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเองจะมีความรุนแรงและคงทนยาวนานกว่าการเกิดจากยาหรือ สารเคมีอื่นๆ

      สรุปแล้วเมื่อเทียบเนื้อหาจากข่าวกับเกณฑ์การวินิจฉัยที่ให้ไว้ข้างต้น ก็คงพอจะบอกได้ว่าสามีหนุ่มใหญ่รายนี้น่าจะเข้าข่ายเป็น Hypersexual แต่ก็ยังต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมในอีกหลายประเด็นเพื่อการวินิจฉัยที่ถูก ต้องแม่นยำมากขึ้น ที่นี้ลองมาดูกันสิว่าเราจะสังเกตได้อย่างไรว่าเราหรือคนใกล้ชิดเข้าข่ายที่ จะเป็น Hypersexual หรือเปล่า ก็ได้มีการพยายามที่บรรยายถึงลักษณะ หรือการกระทำที่เข้าข่ายไว้พอสังเขปดังนี้
Kafka ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับ Hypersexual ไว้ 6 ข้อดังนี้

     1. Compulsive Masturbation (การช่วยตัวเองซ้ำ ๆ บ่อย ๆ) โดยทั่วไปแล้วการช่วยตัวเองถือเป็นพื้นฐานของการระบายออกถึงความต้องการทาง เพศ ทั้งคนโสดและผู้ที่แต่งงานแล้ว ไม่มีข้อห้ามในการช่วยตัวเอง แต่ผู้ที่ถือว่าเป็น Hypersexual นั้นมีการช่วยเหลือตัวเองมากเป็นพิเศษ จนบางครั้งเรียกได้ว่าหมกมุ่นเกี่ยวกับการช่วยตัวเอง ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าบ่อยๆ จนแทบจะเป็นกิจวัตรที่ขาดไม่ได้

     2. Protracted Promiscuity (สำส่อนทางเพศ) อันนี้ตรงไปตรงมานะครับ เป็นพฤติกรรมจำพวกเพศสัมพันธ์ข้ามคืน การซื้อบริการทางเพศ การไปเสาะหาคู่นอนตามที่สาธารณะต่างๆ เช่น สวนสาธารณะ เป็นต้น การมีคู่นอนหลายคนอาจเป็นแบบครั้งเดียวจบ หรือคบกันเพื่อการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น หรืออาจจะใช้บริการเพื่อนเที่ยวก็ได้

     3. Pornography Dependence (การพึ่งพาสิ่งลามกต่างๆ) ในการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ เช่น รูปโป๊ หนังโป๊ตลอดเวลา

     4. Telephone Sex Dependence (เซ็กส์โฟน) ใช้โทรศัพท์ในการพูดคุยเรื่องเพศสัมพันธ์ โดยการคุยนี้จะทุ่มเททั้งเวลา และค่าใช้จ่ายในการโทรศัพท์ไปเพื่อการเซ็กส์โฟนอย่างเดียว

     5. Cyber Sex กลุ่มนี้จะให้ความสนใจและพยายามมีส่วนร่วมเป็นอย่างมากในการพูดคุยผ่าน อินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับเรื่องเพศ (Chat room) หรือการอ่านคำตอบข้อความในกระทู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ หรืออาจตั้งกระทู้เอง ตั้งใจใส่ใจตอบ reply ในกระทู้ต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็เพื่อการดึงดูดและกระตุ้นอารมณ์ทางเพศทั้งสิ้น

     6. ความไม่สอดคล้องกันของความปรารถนาทางเพศอย่างรุนแรง ในผู้ที่มีปัญหาจาก Hypersexual ข้อหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาระหว่างคู่สามีภรรยาคือ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีความต้องการทางเพศมากกว่าอีกฝ่าย และมักจะลงเอยด้วยการเลิกรากันไป ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทบความสัมพันธ์ของชีวิตคู่เป็นอย่างยิ่ง

      คนที่เกิด Hypersexual ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยรู้ตัวและไม่รู้สึกว่านี่คือปัญหาครับ เกิดอารมณ์ก็แค่หาทางระบายออกเท่านั้นเอง ดังนั้นโอกาสที่จะมารับการวินิจฉัยรักษาก็เลยเป็นเรื่องที่ห่างไกล ที่จริงแล้วคนใกล้ชิดสามารถสังเกตได้ง่ายๆ ว่าเขาหรือเธอเป็น Hypersexual หรือไม่ นอกเหนือจากเกณฑ์การวินิจฉัยข้างต้น แล้วควรจะสังเกตด้วยว่าเขาหรือเธอมีความเปลี่ยนแปลงไปในเรื่องความคิด อารมณ์ พฤติกรรมทางเพศหรือไม่ เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนหน้านั้นเกิดเหตุการณ์สำคัญอะไรในชีวิตบ้าง เช่น เกิดอุบัติเหตุซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เกิดความผิดปกตินี้ได้ ลองนำไปสังเกตดูนะครับ แล้วอาจจะปรึกษากับจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือผู้ให้คำปรึกษาปัญหาทางเพศก็ได้ เพื่อปัญหาจะได้ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปครับ

ที่มา : http://www.endcenter.com/