กินถั่วลดคอเลสเตอรอล

มีทั้งโปรตีน ไฟเบอร์



น้องๆ ที่มีปัญหาไขมันในเลือดสูง ลองหาถั่วมารับประทานวันละหยิบมือดูเพราะจากการศึกษาคนไข้กว่า 583 คนในกว่า 25 คลินิกในประเทศสหรัฐพบว่า กินถั่วเพียง68 กรัม หรือประมาณหยิบมือต่อวันช่วยลดอัตราไขมันเลวในร่างกายได้กว่าร้อยละ 7.4 และลดปริมาณคอเลสเตอรอลทั้งหมดลงร้อยละ 5.1

          ศ.โจน ซาบัต ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ภาควิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยโลม่า ลินดา ในรัฐแคลิฟอร์เนีย พบว่า ถั่วมีไขมันไม่อิ่มตัว โปรตีน ไฟเบอร์และไขมันพืชมาก ซึ่งล้วนแล้วแต่ช่วยลดคอเลสเตอรอลทั้งสิ้น

          ไขมันเลวมีลักษณะโครงสร้างใหญ่และมีความหนาแน่นต่ำ หากมีมากจะก่อปัญหาหลอดเลือดอุดตัน ส่วนไขมันดีมีความหนาแน่นสูงคอยเก็บกวาดของเสียหรือไขมันส่วนเกินกลับคืนสู่ กระแสเลือด นำไปให้ตับเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำดีเพื่อใช้ย่อยไขมันต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

4 กลุ่มโรคร้าย ภัยของนักดื่มตัวยง

เรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนควรรู้


          การ ดื่มสุรา เราต่างก็รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลย มิหนำซ้ำยังส่งผลเสียและอันตรายอีกมากมายให้กับผู้ที่ดื่มเข้าไป ซึ่งก็เห็นได้จากทางหน้าหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ทั้งอุบัติเหตุ ขาดสติ ทะเลาะวิวาท ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีผลกับสุขภาพอีกด้วย ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งเพิ่มอัตราการเกิดโรคร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ และนี่คือ 4 โรคร้ายที่คุณนักดื่มควรจะระวังไว้



 โรคทางระบบประสาท

          โรค นอนไม่หลับ กระบวนการการรับรู้ความเข้าใจบกพร่อง ขาดสติ จิตหลอน ประสาทหลอน โรคคลั่งเพ้อ เกิดจากโรคพิษสุราเรื้อรัง การทำหน้าที่ของสมองผิดปกติส่งผลถึงการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย อาจทำให้กล้ามเนื้อส่วนปลายแขน ขาอ่อนแรง ปลายประสาทพิการ นอกจากนี้ก็ยังมีโรคซึมเศร้า โรคลมชัก โรคระแวงเพราะสุราด้วย

 โรคมะเร็ง

          มะเร็ง ในปากและช่องปาก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งเต้านมในผู้หญิง และมะเร็งรังไข่ ซึ่งในผู้ชายส่วนใหญ่ที่เป็นนักดื่มมักป่วยเป็นมะเร็งตับ

 โรคหลอดเลือดและหัวใจ

          เกิด จากปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป จะทำให้เส้นเลือดที่เลี้ยงหัวใจตีบ ส่งผลให้ผู้ที่ชอบดื่มสุราเป็นประจำมีอัตราการเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนที่ดื่ม น้อยกว่า และยังทำให้เกิดความผิดปกติที่กล้ามเนื้อหรือเซลล์หัวใจได้ กลายเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม นอกจากนี้ยังทำให้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สมองส่วนนอกลีบฝ่อ อาการระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกินไป โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะและโรคหัวใจล้มเหลว

 โรคเรื้อรังอื่น ๆ

          โรค ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน และเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคตับอักเสบ โรคตับแข็ง ต่อมาก็โรคกระเพาะอักเสบ เนื่องจากแอลกอฮอล์ไปทำลายสารเคลือบกระเพาะ โรคต่อมหมวกไต กระดูกพรุน โรคเกาต์ โรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นต้น

          เทศกาล เฉลิมฉลองแบบนี้ต้องดูแลตัวเองด้วยให้ดี ทราบข้อมูลกันแบบนี้แล้วก็ควรหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเองให้มากขึ้น ที่สำคัญก็ควร ลด ละ เลิก การเดิมสุราเสียด้วยก็จะถือเป็นการดีมาก

ที่ มา: เว็บไซต์ สสส.

“เมนส์” บอกโรคได้

สังเกตสี กลิ่น ปริมาณให้ดีรู้แน่

          อาการปวดเมนส์ที่ว่าเป็นทุกข์แสนหนักหนานั้น เทียบไปแล้วก็ยังน้อยกว่าอาการเลือดเมนส์มาผิดปกติ ซึ่งอาจหมายถึงแค่พักผ่อนไม่พอไปจนถึงมะเร็งปากมดลูก ดังนั้นจึงต้องขอบคุณธรรมชาติที่สร้างประจำเดือนให้เพราะใช้เป็นสัญญาณบอก สุขภาพได้ โดยให้ดู 3 อย่างต่อไปนี้คือ

          - สี - กลิ่น – ปริมาณ

          ถ้าสีดำเข้ม เป็นก้อน มีกลิ่นเหม็นอับและออกมามากผิดปกติ ซึ่งประจำเดือนที่ดีควรมีสีแดงสดเหมือนเลือดปกติ ไม่มีกลิ่นและปริมาณไม่เยอะจนเกินไป เช่น ชุ่มมากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยวันละหลายผืน อย่างนี้ปล่อยไว้ก็ยิ่งเหนื่อยเพลียเพราะเสียเลือดครับ ธรรมชาติได้อุตส่าห์สร้างประจำเดือนไว้ให้คู่กับสตรีเพศแล้วก็ไม่ควรปล่อย ทิ้งไปทุกเดือนเสียเฉยๆ อยากให้ลองหันดูสักนิด จะได้รู้สุขภาพตัวเองง่ายๆ เป็นศาสตร์ใกล้ตัวที่ช่วยชีวิตได้นะครับ

          บอกโรค จากประจำเดือน

          นอกจาก สี,กลิ่นและปริมาณ แล้วสิ่งที่สำคัญอีกประการคือ นิสัยครับ ถ้าเป็นประจำเดือนนิสัยชอบเซอร์ไพรส์ล่ะไม่ดีแน่ นั่นคือเคยหายไปแล้วจู่ๆ ก็กลับมาหรือว่ายังไม่ทันถึงเวลามาก็มาทักทายเสียก่อนแล้วอาจเป็นสัญญาณ มะเร็งได้ง่ายๆ

          แต่ อย่าเพิ่งตกใจไปครับ ขอให้ค่อยๆมาดูกันไปว่าแต่ละเดือนเมนส์เตือนอะไรบ้าง

          เมนส์ผิดปกติ : สีเข้มจัดออกน้อยเลือดจาง มักร่วมกับเหนื่อยง่าย, ออกเป็นก้อนลิ่มเลือดคล้ายเลือด หมู มีเลือดออกภายในค่อนข้างมาก อาจมีอุ้งเชิงกรานอักเสบ, เมนส์มาร่วมกับปวดประจำเดือนมาก อาจมีเยื่อบุมดลูกโตผิดที่(Endometriosis) หรือถุงช็อกโกแล็ตซิสต์(Chocolate cyst),

          มีกลิ่นผิดปกติถ้าร่วมกับตกขาวแสดงถึงติดเชื้อ ในมดลูก มีอุ้งเชิงกรานอักเสบ, ออกมากจนน่าตกใจ ระวังเนื้องอกมดลูกและมะเร็งปากมดลูก แนะตรวจมะเร็งปากมดลูกกับอัลตร้าซาวน์ดูเนื้องอกมดลูก, มาไม่สม่ำเสมอ พบได้ในเด็กสาวเริ่มมีเมนส์และสาววัยใกล้หมดเมนส์เพราะไข่ตกไม่สม่ำเสมอ,

          ประจำเดือนหาย ถ้าไม่ได้ตั้งครรภ์ เหตุเมนส์ไม่มายังเกิดจากกินยาคุมฉุกเฉินไปกวนฮอร์โมน และเครียดกับ นอน ดึก” , มาก่อนกำหนดหรือเคยหายไปแล้วจู่ก็มามากถ้า ร่วมกับปวดด้วยต้องระวังเนื้องอกผนังมดลูกหรือมะเร็งปากมดลูก

          ประจำเดือนอาจเป็นสัญญาณสุขภาพดีสำหรับหลายคน แต่ก็เป็นความรวดร้าวทุกข์ทนสำหรับหลายท่านอยู่เหมือนกันโดยเฉพาะ อาการปวดซึ่งลามรวมไปถึงปวดศีรษะ,เมื่อยตัว บางท่านหนักหน่อยถึงแก่มีไข้ทับระดูทีเดียว ช่วงประจำเดือนจึงต้องเก็บตัวนอนซมอยู่ในห้อง นักเรียนก็ขาดเรียน คนทำงานก็ขาดงาน ดังนั้นจะเห็นว่าเรื่องใกล้ตัวอย่างประจำเดือนนี่ส่งผลถึงสังคมโดยรวมมากที เดียว

          จึงอยากฝากเคล็ดไว้สำหรับท่านที่ปวดประจำเดือน บ่อยให้คอยสังเกต อาการเตือนแล้วรีบกินยาแก้ปวดดักไว้ตอนกรุ่นๆ อย่ารอให้ปวดจนพี้คแล้วกินมันจะยั้งไม่อยู่แล้วครับ

          สำหรับท่านที่ปวดบ่อยแล้วผวามะเร็งก็ขอเฉลยไว้ ว่ามะเร็งมักมาเงียบๆ ไม่ค่อยเจ็บปวดนักครับ เช่น จู่ๆ ก็มีเลือดออกมามากแต่ไม่เจ็บปวดอันใด ดังนั้นการมีเลือดแล้วเจ็บดุเดือดด้วย ไม่ใช่มะเร็งเสมอไป ไม่ต้องตื่นเต้นกังวลไป มีเวลาค่อยพากันไปหาคุณหมอก็ได้ครับ

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

เกร็ดความรู้เรื่อง “ความร้อน”

ถ้าถามว่า อุณหภูมิในร่างกายคนเราเพิ่มสูงขึ้นช่วงไหนมากเป็นพิเศษ... คำตอบคือ ตอนออกแรง-ออกกำลัง เนื่องจากการเผาผลาญอาหารเพื่อใช้สร้างแรงกลของคนเราจะทำให้เกิดความร้อน มากกว่า 70% ของกำลังงานทั้งหมด

           และถ้าร่างกายขาดน้ำมากๆ... ระบบการขับเหงื่ออาจหยุดทำงาน ทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นได้ถึง 1.1 c/ชั่วโมง และถ้าอุณหภูมิเกิน 41.1 c อาจเกิดลมแดด (heat stroke) ซึ่ง ทำให้อวัยวะภายใน "สุก" หรือเสื่อมสภาพ ทำให้ตายได้

สเกลอุณหภูมิ

              องศาฟาเรนไฮต์ ในปี ค.ศ.1714 กาเบรียล ฟาเรนไฮต์ (Gabrial Fahrenheit) นัก ฟิสิกส์ชาวเยอรมันได้ประดิษฐ์เทอร์มอมิเตอร์ซึ่งบรรจุปรอทไว้ในหลอดแก้ว เขาพยายามทำให้ปรอทลดต่ำสุด (0°F) โดยใช้น้ำแข็งและ เกลือผสมน้ำ เขาพิจารณาจุดหลอมละลายของน้ำแข็งเท่ากับ 32°F และจุดเดือดของน้ำเท่ากับ 212°F

              องศาเซลเซียส ในปี ค.ศ.1742 แอนเดอส์ เซลเซียส (Anders Celsius) นักดาราศาสตร์ ชาวสวีเดน ได้ออกแบบสเกลเทอร์มอมิเตอร์ให้อ่านได้ง่ายขึ้น โดยมีจุดหลอมละลายของน้ำแข็งเท่ากับ 0°C และจุด เดือดของน้ำเท่ากับ 100°C

              เคลวิน (องศาสัมบูรณ์) ต่อมาในคริสศตวรรษที่ 19 ลอร์ด เคลวิน (Lord Kelvin) นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ผู้ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่าง ความร้อนและอุณหภูมิว่า ณ อุณหภูมิ -273°C อะตอมของ สสารจะไม่มีการเคลื่อนที่ และจะไม่มีสิ่งใดหนาวเย็นไปกว่านี้ได้อีก เขาจึงกำหนดให้ 0 K = -273°C
(ไม่ต้อง ใช้เครื่องหมาย ° กำกับหน้าอักษร K) สเกลองศาสมบูรณ์หรือเคลวิน เช่นเดียวกับองศาเซลเซียสทุกประการ เพียงแต่ +273 เข้าไป เมื่อต้องการเปลี่ยนเคลวินเป็นเซลเซียส

ที่มา : สสส.

แนะทำสมาธิป้องกันโรคหน้าร้อนได้

นพ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงการใช้หลักสมาธิบำบัดลดโรคช่วงหน้าร้อนว่า กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ  มีศาสตร์ทั้งด้านการแพทย์แผนไทยและศาสตร์ด้านการแพทย์ ทางเลือก  สำหรับเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชน ได้นำไปประยุกต์ใช้ดูแลสุขภาพตนเองแบบง่ายๆ  ประหยัด และได้ผล  โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหน้าร้อนซึ่งปีนี้ ร้อนมาก  จะเห็นว่าคนส่วนใหญ่จะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลง ง่ายจากสภาวะสิ่งแวดล้อม  ส่วนใหญ่จะเป็นการเปลี่ยน แปลงของอารมณ์ด้านลบมากกว่า เพราะความร้อนส่งผลให้อารมณ์เกิดภาวะเครียด  หงุดหงิด  นอนไม่หลับ  ไม่สบายตัว  บางครั้งจะเกิดอารมณ์ โกรธกันได้ง่ายๆ

          จึงอยากแนะนำให้ประชาชนยึดหลักของวิธีการทางสมาธิบำบัดมาใช้กัน  เพราะปัจจุบันองค์กรวิชาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข  รวมถึงสำนักงานการแพทย์ทางเลือก  กรม พัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ เร่งสนับสนุนการศึกษาวิจัยและส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า  สมาธิเป็นจิตเวชศาสตร์ เป็นศาสตร์แห่งความเอื้ออาทรต่อร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและวิญญาณของบุคคล การปฏิบัติสมาธิมีผลต่อระบบจิตประสาทภูมิคุ้มกันวิทยา

          นพ.นรา  กล่าวต่อว่าการปฏิบัติสมาธิเป็น เทคนิคที่มีกำเนิดจากทุกชาติ  ศาสนาพุทธ  คริสต์  อิสลาม ฮินดู ซิกข์  รวมทั้งวัฒนธรรมทางศาสนาอื่น จากการศึกษาวิจัยของนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศ  เช่น  รศ.ดร.สมพร  กันทรดุษฎี-เตรียม ชัยศรี  ภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  นพ.บรุช แมคอีแวน (Bruce McEvan) จิตแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยเยล ได้รวบรวมงานวิจัยจำนวนมากพบว่า

          ความเครียดทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง เป็นเหตุให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายได้เร็วขึ้น  ติด เชื้อไวรัสได้เร็วขึ้น เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่หัวใจ เป็นเหตุกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยงทำให้อาการเบาหวานและโรคหอบหืดเลว ลง  เกิดลำไส้อักเสบ  เซลล์ สมองเสื่อมลง  ความจำเสื่อมลง  แม้ กระทั่งงานวิจัยของ  นพ.เซลดอน  โค เฮน  (Shedon  Cohen)  แห่งมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน  พบ ว่าคนที่มีภาวะเครียดมักจะเกิดเริมที่ริมฝีปากและอวัยวะเพศบ่อยๆ คนที่โกรธมาก  ขนาดของเส้นเลือดก็จะตีบมากด้วยเช่น กัน  ล้วนเป็นผลร้ายทั้งสิ้น

          ในทางตรงกันข้ามงานวิจัยพบว่า คนที่มีอารมณ์ดี  ร่าเริง มีความสุข  มีเสียงหัวเราะบ่อยๆ มีจิตเมตตา จะมีเซลล์ของภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มขึ้น ดังนั้น ยืนยันได้ว่าการทำสมาธิจะช่วยได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะช่วงอากาศร้อนอยากแนะนำให้ใช้วิธีการนี้ดู สนใจข้อมูลติดต่อสำนักงานการแพทย์ทางเลือก  

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

อยู่กลางแดดนาน ระวัง "ฮีทสโตรค"

นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวเตือนประชาชนระวังโรคที่มากับช่วงฤดูร้อน (โรคหน้าร้อน) ว่า ปกติโรคที่พบบ่อยในช่วงหน้าร้อนจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. โรคที่มากับน้ำและอาหาร ได้แก่ โรคอุจาระร่วง อาหารเป็นพิษ บิด ไทฟอยด์ และอหิวาตกโรค ซึ่งเป็นโรคที่ป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขอนามัย คือ กินร้อน ช้อนกลาง และล้างมือทุกครั้งที่รับประทานอาหาร และไม่ควรเก็บอาหารไว้นานเกิน

          2.โรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งในปี 2552 มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ 23 ราย ส่วนในปี 2553 นี้ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงขณะนี้มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 7 ราย และจากการสอบสวนโรคพบว่า ส่วนใหญ่เกิดจากสุนัขที่มีเจ้าของแต่ไม่ได้พาไปฉีดวัคซีน ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดบาดแผล ถือเป็นโรคที่ยังต้องเฝ้าระวังอยู่

          และ 3. โรคที่เกิดจากแดด ความร้อนของอากาศ ซึ่งก่อให้เกิดอาการตะคิวแดด เพลียแดด และลมแดดได้ ซึ่งต้องระวังในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น หัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และผู้ที่ออกกำลังกายกลางแจ้งนานๆ เช่น ตีกอล์ฟ เนื่องจากแดดที่ร้อนจัด ทำให้ร่างกายเสียเหงื่อมาก เลือดข้น ออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายไม่พอ อาจทำให้เกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้

          ในช่วงหน้าร้อนนี้ผมอยากให้พี่น้องประชาชนระวังกลุ่มโรคที่เกิด จากแดด และอากาศที่ร้อนจัด โดยเฉพาะการอยู่ในที่กลางแจ้งโดนแดดนาน ๆ ซึ่งการที่ร่างกายสูญเสียน้ำในร่างกายไปอย่างรวดเร็วจากอากาศร้อนจัดจนทำให้ อวัยวะภายในหยุดการทำงาน เรียกว่า ฮีทสโตรครม ว.สาธารณสุข กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ระวัง!! มันมากับอากาศร้อน

เชื้อโรคร้ายสารพัดชนิดที่ซ่อนตัวอยู่และสามารถเติบโตได้ดีในภาวะ แห้งแล้ง

อากาศบ้านเราทุก วันนี้นับวันยิ่งร้อนขึ้นๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาธรรมชาติได้ส่งสัญญาณเตือนถึงมหันตภัยปรากฏการณ์ ภาวะโลก ร้อน หลายคนยังคงฟังเพียงผ่านๆ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ยิ่งนานวันผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศจากสภาวะโลกร้อนก็ยิ่งพ่นพิษรุนแรงและ ลุกลามเพิ่มขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือ ภัยจากธรรมชาตินานัปการ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดนั้นเห็นทีจะเป็นเรื่องของ โรคภัยไข้เจ็บ ที่มักก่อตัวขึ้นในสภาวะอากาศร้อนๆ เช่นนี้...

เมื่ออากาศร้อน มฤตยูเงียบที่แฝงมากับอากาศอันอบอ้าวโดยเฉพาะเชื้อโรคร้ายสารพัดชนิดที่ซ่อน ตัวอยู่และสามารถเติบโตได้ดีในภาวะแห้งแล้ง หรือบางแห่งอยู่ในภาวะขาดแคลนน้ำดื่ม - น้ำใช้ที่สะอาด จึงเพิ่มความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการระบาดของโรคติดต่อต่างๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น

โดยโรคสุดฮิตที่ เป็นกันมากที่สุดคือ อาหารเป็นพิษ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ แบคทีเรีย จากการกินอาหารปนเปื้อน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับอาหารปิกนิก อาหารที่ไม่ได้เก็บแช่ไว้ในตู้เย็นอาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านานๆ โดยไม่มีการแช่เย็นหรืออุ่นให้ร้อนอยู่เสมอ เด็กและคนชรามีโอกาสเสี่ยงสูง โดยอาการของโรคมักเกิดภายใน 2-6 ชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารปนเปื้อนเชื้อ หรือสารพิษของเชื้อ เริ่มตั้งแต่มีไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย บางครั้งอาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ถ้าถ่ายอุจจาระมากจะเกิดอาการขาดน้ำและสารเกลือแร่ในร่างกาย ร่างกายอ่อนเพลีย ทางป้องกันที่ดีคือ ควรกินอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ๆ ไม่ทานอาหาร ที่เก็บไว้ค้างคืนนานๆ เพื่อป้องกันการรับเชื้อโรคโดยไม่จำเป็น

            หากพบว่ามีอาการในระยะแรกควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรืออาหารเหลวมากๆ อาทิ น้ำข้าว น้ำแกงจืด และดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ โดยห้ามกินยาเพื่อให้หยุดถ่าย เพราะจะเป็นการกักเชื้อให้อยู่ในร่างกาย หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะหากเกิดการสูญเสียน้ำในร่างกายมากอาจถึงขั้นช็อกจนเสียชีวิตได้

            ทางที่ดีควรล้างมือให้สะอาดก่อนปรุงและกินอาหาร หรือชงนมให้เด็ก ดื่มน้ำที่สะอาดหรือน้ำต้มสุก กินอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ งดการกินอาหารสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ ก้อย และถ่ายอุจจาระในส้วม น่าจะดีที่สุด...

           นอกจากนี้ อาหารเป็นพิษยังทำให้เกิด "โรคอุจจาระร่วง" ได้อีก ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส โปรโตซัว และหนอนพยาธิ เชื้อก่อโรคเหล่านี้สามารถติดต่อได้โดยการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อนเข้าไปเช่นกัน อาการถ่ายอุจจาระเหลวเป็นอาการสำคัญของโรคอุจจาระร่วง อาจถ่ายเป็นน้ำ หรือถ่ายมีมูกปนเลือด โดยทั่วไปมักจะอาเจียนร่วมด้วย ความรุนแรงของอาการแตกต่างกันได้มาก ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางรายอาจมีอาการรุนแรงมาก หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบพบแพทย์ทันที

          อีกหนึ่งโรคที่ต้องระวัง คือ "โรค พิษสุนัขบ้า" หรือ "โรคกลัวน้ำ" โรคนี้ติดต่อจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้ากัด ข่วน หรือเลียบริเวณที่มีแผลรอยข่วน หรือน้ำลายของสัตว์ที่มีเชื้อเข้าตา ปาก จมูก โดยสัตว์นำโรคที่พบมากสุด คือ สุนัข รองลงมาเป็น แมว และอาจพบในสัตว์เลี้ยงอื่น เช่น หมู ม้า วัว ควาย และสัตว์ป่า เช่น ลิง ชะนี กระรอก กระแต ได้เช่นกัน
          ผู้ที่เป็นโรคนี้จะแสดงอาการภายใน 15-60 วัน บางรายอาจนานเป็นปี ซึ่งเป็นที่น่าหนักใจที่โรคนี้ยังไม่มีตัวยารักษาโดยเฉพาะ ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเกือบทุกรายภายใน 2-7 วันหลัง แสดงอาการ ดังนั้นหากถูกสัตว์ที่มีเชื้อพิษสุนัขบ้ากัดให้รีบล้างแผลด้วยสบู่ และน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง แล้วรีบพบแพทย์ในทันที...
 
             อีกทั้งแสงแดดที่แรง ในช่วง “หน้า ร้อน” นี้ก็มีผลต่อร่างกายไม่น้อย โดยเฉพาะผิวหนังของคนเรา หากโดนโดยตรงอาจทำให้เป็น ผิวหนังไหม้แดด ได้ ซึ่งเกิดจากการอยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานาน โดยอาการไหม้แดดจะเกิดเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับสีผิวของแต่ละคน ถ้ายิ่งขาวมากเท่าไร ผิวจะยิ่งไหม้เร็วเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีอาการ บวม แดง ร้อน ปวดแสบปวดร้อนและคันตามมาอีกด้วย...
      
หากไม่อยากให้ ผิวสวยๆ ของคุณไหม้เกรียม ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดจัดๆ และทาครีมกันแดด ครีมให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ครีมเคลือบผิวเพื่อลดการสูญเสียน้ำของผิวหนัง และสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมเพื่อป้องกันแดด ที่สำคัญหลีกเลี่ยงการขัดถู และงดใช้สารต่างๆ ที่ทำให้ผิวหนังแห้ง เช่น สบู่ ตรงบริเวณที่เป็นผิวไหม้ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรือเป็นมากๆ ควรรีบพบแพทย์ทันที...

นอกจากโรคต่างๆ ที่พูดถึงนี้ โรคหน้าร้อน ยังร่วมไปถึง ตะคริวแดด เพลียแดด และลมแดด ซึ่งสาเหตุก็เกิดจากการอยู่กลางแดดเป็นเวลานานๆ จึงทำให้เสียเหงื่อมาก และเหตุที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เป็นเพราะในประเทศสหรัฐอเมริกามีรายงานการเสียชีวิตจากโรคจากแดดถึง 300-400 รายต่อปี

          และโรคสุดท้ายที่น่ากลัวที่สุดคือ โรคลมแดด หรือ "ฮีทสโตรก" (Heat Stroke) อาการที่ เกิดจากการได้รับความร้อนมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย หรืออยู่ในภาวะที่มีอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน โรคนี้อาจเกิดขึ้นได้ในผู้มีร่างกายแข็งแรง จัดเป็นความผิดปกติที่มีความรุนแรงมากที่สุด เพราะทำให้สมองไม่ทำงาน ไม่สามารถควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งการควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติเกิน 40 องศาเซลเซียส ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรักษาอย่างรีบด่วน เนื่องจากมีโอกาสเสียชีวิตถึง ร้อยละ 17-70 เลยที เดียว

โดยอาการที่ สังเกตได้ คือ จะไม่มีเหงื่อออก ตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกกระหายน้ำมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน ซึ่งต่างจากการเพลียจากแดดทั่ว ๆ ไป ที่จะพบว่ามีเหงื่อออกด้วย หากเกิดอาการดังกล่าวจำเป็นต้องหยุดพักทันที และรีบพบแพทย์โดยด่วน...

หากไม่อยากเป็น โรคดังกล่าว ควรดื่มน้ำ 1-2 แก้วก่อนออกจากบ้านในวันที่มีอากาศร้อนจัด หากต้องอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อน ควรดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม และแม้ว่าจะทำงานในที่ร่มก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว สวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ไม่หนา น้ำหนักเบา ระบายความร้อนได้ดี หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดด

       อันที่จริงไม่ว่าจะหน้าร้อน หน้าฝน หรือหน้าหนาวทั้งหมดก็แฝงไปด้วยโรคร้ายต่างๆ มากมายเช่นกัน ดังนั้นเราควรทำร่างกายของเราให้พร้อม เพื่อรับมือกับเชื้อโรคต่างๆอยู่ตลอดเวลา ด้วยการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์และปรุงสุกใหม่ๆ  หมั่น ล้างมือเป็นประจำ และที่สำคัญควรทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ไม่เครียด เพราะหากใจพร้อม กายก็จะพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวได้เสมอ...

ที่มา : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th

เลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะสมท้าร้อน

ผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม หายห่วง

ปกติแล้วคุณสาว ๆ เวลาจะเลือกซื้อครีมบำรุงผิวในแต่ละครั้งนั้นเราคำนึงถึงอะไรกันบ้างคะ แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นครีมที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดด แต่บ้านเราเป็นเมืองร้อนและในปีนี้ก็ร้อนอบอ้าวมาก จนไม่อยากจะทาครีมกันเลยใช่ไหมล่ะ เพราะจะทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัว แต่หากเรารู้จักเลือกครีมบำรุงผิวให้เหมาะกับสภาพผิวก็จะทำให้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้หมดไป

          ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับสภาพผิวก่อนว่าแบ่งเป็นกี่ชนิดและ แต่ละคนมีสภาพผิวอย่างไร โดยพญ.วิภาวี วิทยาวนิชชัย แพทย์ผิวหนังโรงพยาบาลยันฮีให้ความรู้ว่า ผิวคนเราแบ่งเป็น 3 แบบ ได้แก่ ผิวแห้งผิวมันและผิวปกติหรือผิวผสม ซึ่งเราจะทราบได้อย่างไรว่าตัวเองมีสภาพผิวแบบใด โดยมีวิธีทดสอบง่าย ๆ ดังนี้หลังล้างหน้าหากรู้สึกว่าผิวหน้าแห้งตึงแสดงว่าเป็นคนผิวแห้ง ซึ่งผู้ที่มีสภาพผิวแห้งจะมีอาการแพ้ง่าย เช่นมีผื่น ผดคัน และมีฝ้า กระ หรือริ้วรอยต่าง ๆเกิดขึ้นได้ง่าย จึงต้องดูแลมากเป็นพิเศษ

          สำหรับผู้ที่มีสภาพผิวมันให้สังเกตว่าหลังล้างหน้าหากยังรู้สึกว่า หน้ายังมันอยู่ หรือมีสิวขึ้นง่ายและบ่อย แสดงว่าเป็นคนผิวมัน และผิวปกติหรือผิวผสมสังเกตว่าใบหน้าจะมีความมันเฉพาะบริเวณทีโซนคือ หน้าผาก จมูกและคาง ส่วนบริเวณแก้มจะแห้ง เมื่อแต่ละคนมีสภาพผิวที่แตกต่างกันไปหน้าร้อนนี้จึงควรเลือกใช้ครีมบำรุง ผิวที่เหมาะกับสภาพผิวด้วยเพื่อลดปัญหาต่าง ๆ ซึ่งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบ่งเป็นชนิด ครีมเจล และโลชั่น ให้เราได้เลือกใช้ ดังนั้นใครที่มีผิวแห้งควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบครีม เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นผิวจะได้ไม่แห้งตึงแต่ไม่ควรใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ น้ำหอม เพราะจะแพ้ง่ายและเกิดการระคายเคืองตามมา ที่สำคัญควรทาครีมบำรุงผิวหน้าทันทีหลังล้างหน้า และดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ

          ส่วนผู้ที่มีผิวมันควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีเนื้อบางเบา เช่น เจล หรือโลชั่น และผู้ที่มีผิวผสมก็เลือกใช้ผลิตภัณฑ์คล้าย ๆ กับผู้ที่มีผิวมันแต่ต้องไม่มันเกินไปและให้ความชุ่มชื้นไม่ระคายเคืองต่อ ผิว ส่วนใครที่อยากมีผิวที่สวยใส อ่อนเยาว์ คุณหมอวิภาวี มีเคล็ดลับว่า การเลือกครีมที่มีประสิทธิภาพควรเลือกที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะมีวิตามิน ซี อี โคเอนไซม์ คิวเทนและสารสกัดจากชาเขียว ฯลฯ แต่ถ้าผู้ที่มีผิวแห้งระวังอย่าใช้ครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ เอเอชเอ เพราะจะทำให้ระคายเคือง

          อย่างไรก็ตามในหน้าร้อนนี้ แสงแดดจะทำร้ายผิวเราทำให้ผิวไหม้เกรียม มีฝ้ากระ ผิวไม่สม่ำเสมอ และมีริ้วรอยก่อนวัยทำให้นอกจากเลือกใช้ครีมบำรุงผิวแล้วเรายังต้องเลือก ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวีเอและยูวีบีด้วย ซึ่งควรมีค่า เอสพีเอฟ มากกว่า 30 แต่ถ้าผู้ที่มีผิวมันมากควรเลือกครีมกันแดดที่บางเบาและมีค่า เอสพีเอฟ ประมาณ15-30 เพื่อป้องกันการอุดตัน ส่วนผิวแห้งสามารถเลือกครีมกันแดดที่มีค่า เอสพีเอฟมากกว่า 30 ได้ โดยวิธีใช้ก็ทาครีมปกติก่อนตามด้วยครีมกันแดด และทุก ๆ1-2 ชม.ควรทาซ้ำกรณีอยู่กลางแดดร้อนมาก ๆ ทั้งนี้ในแต่ละวันควรทาอย่างสม่ำเสมอแม้วันที่ไม่มีแดดก็ตาม

          สุดท้ายนี้อย่าลืมดื่มน้ำเยอะ ๆและทานผักผลไม้ที่มีสารแอนตี้อ๊อกซิเดนซ์ เช่น วิตามินซี วิตามินเอ รวมทั้งชาเขียวร้อนเป็นประจำจะช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสวยใสขึ้น แค่นี้เราก็สามารถอวดผิวสวยในหน้าร้อนได้อย่างมั่นใจแล้ว

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

มหันตภัยเครื่องปรับอากาศ

แหล่งบ่มเพาะสารพัด เชื้อโรค

เชื้อ โรคอยู่รอบตัวเรา...คำพูดนี้คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริงมากนัก เพราะในชีวิตประจำวันของเรา คงไม่อาจหนีเจ้าเชื้อโรคที่สะสมอยู่ตามอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆ ในบ้านไปได้...ซึ่งหลายคนก็เลือกที่จะอาศัยเจ้าเครื่อง ปรับอากาศ มาช่วยทำให้บรรยากาศในบ้านดีขึ้น ด้วย เชื่อตามโฆษณาว่า จะช่วยให้บ้านหลังน้อยของเราปลอดภัยจากเชื้อโรคได้

          แต่! ใครจะรู้ว่าเจ้า เครื่องปรับอากาศ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า แอร์ ที่หลายคนเชื่อว่าจะช่วยดูดฝุ่น ดูดเชื้อโรคได้ จะกลับกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นดีไปซะเอง...!!!

          โดยเรื่องดังกล่าว น.พ.ฉัตรชัย เอกปัญญา สกุล แพทย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) องครักษ์ ได้ระบุว่า ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวแบบประเทศไทย ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่หันมาติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในบ้านกันมากขึ้น แต่ไม่มีใครสนใจว่าเครื่องปรับอากาศนั้น แม้จะทำให้คลายร้อนลงได้ แต่ยังแฝงไปด้วยเชื้อโรคและมลพิษที่มีผลต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อสุขภาพแทบทั้งสิ้น

          แต่ก็คงมีคำถามว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าในแอร์มีเชื้อโรคแฝงอยู่ ง่ายนิดเดียวเพียงแค่สังเกตเวลาเปิดแอร์ว่า มีกลิ่นอับชื้นออกมาพร้อมกับลมเย็นหรือไม่ หากมี นั่นเป็นสัญญาณแสดงว่า มีเชื้อโรคแอบแฝงอยู่แน่นอน เพราะกลิ่นอับชื้นเหล่านี้มักมีต้นตอจากเชื้อโรค ที่ออกมาจากช่องระบายความเย็น และแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ เพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ความชื้นเป็นแหล่งเพาะพันธุ์อย่างดีของเชื้อโรค เมื่อสะสมมากๆ เข้า เชื้อโรคก็จะหลุดลอยออกมาปะปนกับอากาศเย็นภายในห้อง ทั้งเชื้อโรคภูมิแพ้ ผื่นผิวหนังอักเสบ หืดหอบ ปอดบวมจากเชื้อลีเจียนแนร์ วัณโรค สุกใส งูสวัด หัดเยอรมัน และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ให้เราได้สูดหายใจเอาเชื้อโรคต่างๆ มากมายเข้าไปในร่างกาย!

          สำหรับวิธีป้องกันนั้น ก็สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่เพียงแค่ล้างทำความสะอาดแอร์อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการล้างแผ่นกรองอากาศอย่างน้อย เดือนละครั้ง โดยใช้น้ำฉีดแรงๆ ที่ด้านหลัง ด้านที่ไม่ได้รับฝุ่น ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกหลุดออกไป และในแต่ละปีควรล้างเครื่องปรับอากาศแบบเต็มระบบ จะช่วยขจัดเอาฝุ่นละออง เชื้อโรคที่เกาะติดอยู่กับส่วนต่างๆ ของเครื่อง และที่ล่องลอยอยู่ในอากาศภายในห้องทิ้งออกไป

          นอกจากนี้ ยังควรดูแลสิ่งแวดล้อมในห้องที่ใช้แอร์ด้วย โดยกำจัดฝุ่น กำจัดแหล่งที่อยู่ของแมลงสาบ ละอองเกสรพืช ไรฝุ่นในที่ นอน ขนสัตว์ และแมลงอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ สำหรับบ้านหลังไหนที่มีหิ้ง ชั้นวางของ และตู้จำนวนมาก ต้องหมั่นทำความสะอาดบ่อยๆ และควรทำความสะอาดเพดาน ม่าน กำแพง ทุกๆ 2-3 เดือน เพื่อกำจัดแหล่งเชื้อรา อย่าให้เกิดความชื้น หรือกลิ่นอับขึ้นภายในบ้านหรือในห้องที่ใช้แอร์

          อย่างไรก็ตาม ดูแลความสะอาดจากสิ่งรอบๆ ตัวเรียบร้อยแล้ว... ก็อย่าลืมดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรง แข็งแกร่ง เพื่อให้มีภูมิต้านทานในร่างกาย เพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคร้ายต่างๆ ที่ยังคงแอบแฝงอยู่ตามสภาวะแวดล้อมรอบๆ กายที่เราอาจจะยังไม่ รู้ก็เป็นได้

ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ

รากประสาทถูกกดทับ

ผู้ทำงานหนัก แบกของเป็นประจำระวัง

สันหลัง คนเราประกอบด้วยกระดูกสันหลังชิ้นย่อย ๆ กว่า 30 ชิ้น เรียงต่อกันเป็นแนวจากต้นคอจรดก้นกบ ระหว่างกระดูกแต่ละข้อมีแผ่นกระดูกอ่อนหรือที่เรียกว่า หมอนรองกระดูกสันหลัง คั่นกลางทำหน้าที่ป้องกันการเสียดสีและเป็นเสมือนโช้คอัพเพื่อดูดซับและ กระจายแรงอัด ภายในโพรงกระดูกสันหลังประกอบไปด้วยไขสันหลังและมีเส้นประสาทแยกแขนงจากไข สันหลังไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเส้นประสาทส่วนต้นสุดที่แยกแขนงออกมาจากไขสันหลังเรียกว่า รากประสาท ซึ่งจะอยู่ชิดกับหมอนรองกระดูก

          เมื่อหมอนรองกระดูกเคลื่อนตัวก็จะกดทับรากประสาทที่ไปเลี้ยงแขนหรือ ขา ทำให้มีอาการปวดเสียวแชะชาของแขนหรือขา ส่วนรากประสาทที่ถูกกดทับมักจะพบบ่อยจากการเคลื่อนตัวของหมอนรองกระดูก สันหลังบริเวณกระเบนเหน็บหรือบั้นเอว ทำให้มีการกดทับรากประสาทไซอาติก (Sciatic Narve) ที่ไปเลี้ยงขา ซึ่งจะพบบ่อยในกลุ่มคนดังนี้:

  - ผู้ที่ทำงานหนักโดยเฉพาะผู้ที่แบกของหนักเป็นประจำ
          - ผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือมีแรงกระแทกบริเวณเอว
          - ผู้ที่มีอิริยาบถที่ไม่เหมาะสมในชีวิตประจำวัน
          - ผู้สูงอายุที่มีภาวะกระดูกเสื่อม
          รากประสาทขาถูกกดทับมีอาการอย่างไร...
          - มีอาการปวดหลังบริเวณบั้นเอวหรือกระเบนเหน็บร่วมกับอาการปวดร้าวที่ขา ซึ่งจะปวดจากแก้มก้นลงไปที่ต้นขา น่องและปลายเท้า
          - อาการปวดร้าวที่ขามักจะเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น นอกจากในรายที่เป็นมากอาจมีอาการทั้งสองข้าง
          - อาการปวดจะเป็นมากขึ้นหลังจากการเดินมาก ๆ และอาจปวดมากขึ้นเวลาก้ม นั่ง ไอ จาม หรือเบ่งถ่าย
          - ในกรณีเป็นมาก เท้าจะไม่มีแรงและชา อาจปัสสาวะไม่ได้หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หากปล่อยไว้นานอาจทำให้กล้ามเนื้อขาอ่อนแรงและลีบลง
          - ผู้ป่วยไม่สามารถยกเท้าเหยียดตรงได้ 90 องศา เช่นคนปกติหรือได้น้อยกว่าเท้าอีกข้างหนึ่ง เนื่องจากรู้สึกปวดเสียวตามหลังเท้าจนทนไม่ได้

          สาเหตุของโรคในทัศนะการแพทย์จีน...

          การแพทย์จีนได้จัดโรครากประสาทขาถูกกดทับให้อยู่ในกลุ่มโรคชาและปวด เมื่อย ซึ่งมีสาเหตุมาจากการทำงานหนัก ความเสื่อมตามวัยหรือพิษเย็น-ชื้นที่สะสมบริเวณเอว ทำให้หลอดเลือดและเส้นลมปราณติดขัด กีดขวางการไหลเวียนของโลหิตและพลังลมปราณจนเกิดอาการปวดขึ้นมา ซึ่งสอดคล้องกับหลักการวินิจฉัยและรักษาอันสำคัญของการแพทย์จีนคือ ปวดแสดงว่าไม่โล่ง โล่งแล้วก็จะไม่ปวด นอกจากนี้ การไหลเวียนของโลหิตและพลังลมปราณบริเวณเอวที่ติดขัดจะทำให้เส้นเอ็น กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังได้รับการหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ พร้อมทั้งไม่สามารถขับพิษเย็น-ชื้น ที่สะสมและสารพิษต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเมตาบอลิซึมออกไปได้หมดสิ้น จึงส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่าง ๆ บริเวณกระดูกสันหลังขึ้น

          การแพทย์จีนมีวิธีบำบัดอย่างไร...

          - กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต สลายเลือดคั่งทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตขนาดเล็ก (Microcirculation) บริเวณกระดูกสันหลังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อกระตุ้นการขับสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายข้อ สารที่ก่อให้เกิดอาการปวด (เช่น สารเบต้าโปรตีน ไกลโคโปรตีนและฮิสตามีน เป็นต้น) รวมทั้งกรดแล็กติกที่สะสมอยู่บริเวณรากประสาทออกไปให้มากขึ้น จึงสามารถลดการระคายเคืองต่อรากประสาทและบรรเทาอาการปวดบวมได้อย่างเด่นชัด
          - การไหลเวียนโลหิตขนาดเล็กบริเวณกระดูกสันหลังที่ดีขึ้นจะทำให้เส้นเอ็น ประสาท กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังได้รับการหล่อเลี้ยงได้มากขึ้นบริเวณที่บาดเจ็บ จึงได้รับการฟื้นฟูและซ่อมแซมได้เร็วขึ้น
          - ปรับลดระดับความรุนแรงของปฏิกิริยาการตอบโต้จากระบบต่อมไร้ท่อเมื่อราก ประสาทขาถูกกดทับ จึงลดการสร้างและการหลั่งสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายข้อ พร้อมทั้งลดการหดเกร็งของหลอดเลือดบริเวณที่บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          - ลดอาการบวมของรากประสาทและบริเวณที่บาดเจ็บ เพื่อลดแรงดึงภายในเส้นประสาทและการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณกระเบนเหน็บ และบั้นเอวจึงบรรเทาอาการปวดบวมและฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของเส้นประสาทได้ อย่างเด่นชัด
          อาการปวดหลัง อาการปวดร้าวที่ขาและอาการอื่น ๆ ที่เกิดจากรากประสาทขาถูกกดทับจึงค่อย ๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด

ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ยาคุมฉุกเฉิน ภัยแฝงใกล้ตัว

กินพร่ำเพรื่อ ระวังมะเร็งถามหา

ยา คุมกำเนิด ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ช่วยในการวางแผนครอบครัว ของคู่สมรส ที่ยังไม่พร้อมจะมีบุตร ซึ่งการคุมกำเนิดมีอยู่หลายวิธี แต่ที่กำลังได้รับความนิยม ในปัจจุบัน และแพร่หลายในหมู่วัยรุ่น ทั้งเพศชายและหญิง คือ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน

 
เนื่องจากยา ประเภทนี้ ไม่ต้องกินทุกวัน เหมือนยาคุมแบบอื่น แต่ใช้กินเฉพาะ หลังการมีเพศสัมพันธ์ ในกรณีที่ไม่มีการป้องกัน ขาดการคุมกำเนิดเท่านั้น หรือที่เรียกว่า ยาคุมฉุกเฉิน (Emergency contraceptive pill) ใน ประเทศไทย มียาคุมฉุกเฉิน 2 ยี่ห้อ ที่ขายอยู่ตามท้องตลาด คือ โพสตินอร์ และมาดอนนา ลักษณะของตัวยา เป็นแบบฮอร์โมนเดี่ยวทั้งสองชนิด เม็ดยามีสีขาว บรรจุขายแผงละ 2 เม็ด ราคา 35 บาท และ 20 บาท ตามลำดับ

ยาคุมฉุกเฉิน ถือได้ว่าเป็นทางเลือกหนึ่ง หากเกิดความผิดพลาด ในการคุมกำเนิด เช่น นับวันผิด ถุงยางรั่ว ลืมกินยา หรือถูกข่มขืนเท่านั้น แต่ไม่เหมาะ ในการนำมาใช้คุมกำเนิด แบบทั่วๆ ไป เนื่องจากสารตกค้าง อาจทำให้เสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งมดลูก และมะเร็งเต้านม อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสเสี่ยง ต่อการตั้งครรภ์ มากกว่าการใช้ยาคุมกำเนิด แบบธรรมดาอีกด้วย

ส่วนประสิทธิภาพ ของยาคุมฉุกเฉิน คือ ไปขัดขวางการตกไข่ ทำให้การตกไข่ช้าไปกว่าเดิม หรือขัดขวางการฝังตัวของไข่ ที่ผสมแล้ว ช่วยลดโอกาสเสี่ยง ต่อการตั้งครรภ์ ได้ประมาณ 85% แต่หากตัวอ่อนปฏิสนธิแล้ว ฤทธิ์ของยาไม่สามารถขัดขวาง การเติบโตของตัวอ่อน แต่จะปรับสภาพผนังมดลูก ทำให้ไม่พร้อมต่อการฝั่งตัว ดังนั้นยาคุมฉุกเฉิน จึงมิใช่ยาทำแท้ง อย่างที่หลายคนเข้าใจ

ปัจจุบันนี้ใน หมู่วัยรุ่น การใช้ยาคุมฉุกเฉิน กลับได้รับนิยม มากกว่าการใช้ถุงยางอนามัย เนื่องจากไม่ยุ่งยาก ในการรับประทาน และหาซื้อได้ง่าย ตามร้านขายยาทั่วไป ซึ่งจากผลการวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศ ของคนไทยพบว่า ชายและหญิง มีความสัมพันธ์ทางเพศ เร็วขึ้นจากเมื่อก่อน และการมีคู่นอนมากกว่าหนึ่งคน ถือเป็นเรื่องธรรมดา จึงไม่น่าแปลกใจ หากกลุ่มลูกค้าหลัก ที่ซื้อยานี้ คือ กลุ่มวัยรุ่นชาย - หญิง ที่มีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้ง ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่ จะเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง

นายชาญชัย นักเรียนชั้นม.4 โรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ให้เหตุผลในการซื้อยาคุมฉุกเฉิน ว่ารู้จักมาจากเพื่อนๆ ที่ใช้อยู่เป็นประจำ เนื่องจากหาซื้อสะดวกและไม่ยุ่งยาก มีอะไรกัน แล้วก็รีบให้ผู้หญิงกิน ไม่ต้องกลัวว่าจะท้อง และยังพกง่ายกว่าถุงยางแลดูไม่น่าเกลียด เพราะไม่มีใครรู้ว่า เป็นยาอะไร ซึ่งโดยส่วนตัว ไม่ค่อยชอบใช้ ถุงยางอนามัยกับแฟน เพราะไม่เป็นธรรมชาติ จะใช้กับผู้หญิงอย่างว่ามากกว่า

นางสาวพัชราภรณ์ ดาบสมเด็จ นักศึกษา มรส. คณะนิเทศศาสตร์ ชั้นปี 4 กล่าวว่า การใช้ยาคุมฉุกเฉิน ทำให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ โดยขาดการยั้งคิดมากขึ้น เนื่องจากมียาคุมฉุกเฉินมาใช้ หลังจากการมีเพศสัมพันธ์ แต่ในทางกลับกัน ก็เป็นวิธีป้องกันอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะหากเกิดตั้งครรภ์ โดยไม่ตั้งใจ เด็กที่เกิดมา ก็จะเป็นปัญหาสังคม หรือไม่มารดา ก็ไปทำแท้งเถื่อน ทำให้เป็นอันตรายต่อตนเอง และผิดหลักศีลธรรมด้วย

นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวถึงผลเสีย จากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน ผิดประเภทในหมู่วัยรุ่นว่า จะทำให้เกิดพฤติกรรม ของการมีเพศสัมพันธ์ ก่อนวัยอันควรเพิ่มมากขึ้น และอาจก่อให้เกิด ปัญหาสังคมตามมา ในอนาคต ซึ่งสิ่งที่เป็นข้อผิดพลาด ในประเทศไทยก็คือ เราสามารถซื้อยากินเอง ได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยาทำให้มีการนำยาคุมฉุกเฉินมาใช้ อย่างพร่ำเพรื่อ ไม่ได้ใช้ในกรณี ที่ฉุกเฉินจริงๆ แล้วแทนที่ผู้ชาย จะพกถุงยางอนามัย หรือผู้หญิงจะพกถุงยางอนามัย เพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง ผู้ชายกลับหันมาพกยาเม็ดนี้เอง พอมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง แล้วก็ให้ผู้หญิงกิน เพื่อป้องกันการท้อง ปัญหาที่ตามมาก็คือ เมื่อมันง่ายที่จะมีเพศสัมพันธ์ หนุ่มสาวก็ขาดความยับยั้งชั่งใจ ทำลงไปเพราะคิดว่า มีการป้องกันที่ปลอดภัย โดยขาดความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และความเข้าใจผิดๆ ของผู้หญิงไทยอีกประการหนึ่งคือ สำนึกเรื่องความรับผิดชอบ คิดแค่ว่าผู้ชายคนนี้รัก หากไม่ยอมเป็นของกันและกัน ฝ่ายชายจะไปมีคนอื่น โดยไม่คิดถึงผลเสียที่อาจตามมา เช่น ปัญหาการทำแท้ง การติดโรคเอดส์ ฯลฯ

ทั้งนี้ยาคุมฉุกเฉิน จะมีประโยชน์มากๆ สำหรับกรณีถูกข่มขืน ซึ่งแพทย์ต้องป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ หากพบแพทย์ภายใน 3 วัน จะมีกระบวนการที่ทำให้สภาพร่างกาย ไม่เหมาะสมกับการตั้งท้อง โดยต้องกิน 2 ครั้ง ครั้งแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และกินครั้งที่สอง ห่างจากครั้งแรกไป 12 ชั่วโมง ยาจึงจะมีผลและประสิทธิภาพในการป้องกันสูงสุด มิใช่กินภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ตามที่ใบกำกับยาระบุไว้ ซึ่งผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉิน คือ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ประจำเดือนมาผิดปกติ ไม่มีอันตรายรุนแรง แต่ผลข้างเคียงในระยะยาวที่อาจทำให้เกิดมะเร็งได้นั้น ต้องดูจากพฤติกรรมการใช้ยา หากปฏิบัติถูกต้องตามหลัก ก็ไม่เพิ่มอัตราการเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง แต่หาก ใช้ยาโดยขาดการควบคุมอันนี้ส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งแน่ นอน

ด้านแนวทาง ป้องกัน ปัญหาการใช้ยาคุมฉุกเฉิน ผิดประเภท นพ. พันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า ต้องให้ความรู้ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ ที่ปลอดภัยแก่วัยรุ่น ให้มากกว่านี้ เนื่องจากปัจจุบัน ยังมีคนจำนวนมาก ที่ยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์อยู่ อีกทั้งคนที่เป็นผู้หญิง ก็ต้องรู้จักที่จะป้องกันตัวเอง จากการมีเพศสัมพันธ์ด้วย

ข้อมูล:สสส.

ยาคุมแบบฉีด ทำมวลกระดูกเสื่อม

อย่างน้อย 5 %

เกือบ ครึ่งของผู้หญิงที่ฉีดยาคุมกำเนิดมักจะต้องพบกับปัญหาการสูญเสียมวลกระดูก โดยเฉพาะบริเวณสะโพก และ กระดูกสันหลัง

             นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทกซัส พบว่า หญิงชาวอเมริกันมากกว่า 2 ล้านคน ซึ่งเป็นวัยรุ่นกว่า 4 แสนคน ใช้ เมดร๊อกซีโพรเจสเตอร์โรน แอกเทท หรือ ดีเอมพีเอ ซึ่งเป็นยาคุมกำเนิดแบบฉีด ทุก ๆ 3 เดือน

             หลังจากทำการศึกษาผู้ใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉีดนี้ จำนวน 95 คน เป็นเวลา 2 ปี ในขณะนั้นพบว่า ผู้หญิง 45 คน มีการสูญเสียมวลกระดูกอย่างน้อย 5% บริเวณหลังและ สะโพก และอีก 50 คน สูญเสียมวลกระดูกน้อยกว่า 5%

             ในเวลาต่อมา นักวิจัยพบว่า มวลกระดูกหายไปมากเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้หญิงที่สูบบุหรี่ ไม่เคยมีบุตร และรับประทานแคลเซียม 600 มิลลิกรัม หรือ น้อยกว่านั้นต่อวัน และเมื่อนักวิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อศึกษาเพิ่มเติมจำนวน 27 คน พบว่า ในสองปีแรก มวลกระดูกยังคงสูญเสียไปอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูล:สสส.

เรียนเพศ...ในโลกมืด

ตาบอด ไม่ใช่อุปสรรค

การ มองไม่เห็น ไม่ใช่อุปสรรคที่จะเรียนรู้เรื่อง "เพศ" แถมยังเป็น เรื่องที่น่าสนใจของเด็กวัยประถมศึกษาที่พิการตาบอดอีกด้วย เห็นได้จากเด็กพิการตาบอดที่โรงเรียนเทศบาล 2 (บ้านหาดใหญ่)จ.สงขลา กำลังเรียนวิชาเรื่องเพศศึกษาอย่างตั้งอกตั้งใจ

  เรื่องเพศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นเรื่องที่ต้องถกปัญหาหลายรอบกว่าจะลงตัว ยิ่งสอนให้กับเด็กวัยรุ่นด้วยแล้ว ยิ่งเป็นประเด็นที่ต้องระวัง ผิดกับที่โรงเรียนเทศบาล 2 (บ้านหาดใหญ่) เปิดสอนหลักสูตรสอนเพศศึกษามาได้ 5 ปี ผลตอบรับกลับดีเยี่ยมและยังเป็นผลดีกับเด็กๆ อีกด้วย

          การันตีได้จาก อ.ชญาทัศน์ เสมสุขกรี หรือ ครูมดของเด็กๆ บอกว่า เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาได้เข้าอบรมเรื่องการจัดการศึกษาพิเศษด้วยตนเอง จึงนำแผนการสอน สื่อ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนเพศศึกษาของนักเรียนพิการทางสายตามาสอนนักเรียน พิการตาบอด โดยสอนเด็กประถมศึกษาปีที่ 5-6 อายุระหว่าง 13-15 ปี

          "ที่นำเรื่องเพศศึกษามาสอนเด็กตาบอดเพราะว่า เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับทุกเพศทุกวัย และการเรียนรู้ของเด็กตาบอดสามารถเรียนได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป เพียงแต่พวกเขามองไม่เห็นเท่านั้นเอง"

          หลักสูตรที่เด็กพิการ ตาบอดต้องเรียนนั้นสอนทั้งหมด 6 เรื่อง มีเรื่องพัฒนาการทางเพศ เกี่ยวกับร่างกายตัวเอง การก้าวเข้าสู่วัยรุ่น, เรื่อง สัมพันธภาพ เกิด แก่ เจ็บตาย เรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อน, เรื่องทักษะส่วนบุคคล การเลือก ความสามารถ, เรื่องพฤติกรรมทางเพศของเราและคนอื่นพฤติกรรมระหว่างกัน การปฏิเสธ, เรื่องสุขภาพทางเพศ เป็นเรื่องการเป็นโรค การอนามัย และสังคมและวัฒนธรรมของวัยรุ่น

          อ.ชญาทัศน์ บอกว่า การจัดแผนการเรียนเพศศึกษาจะให้นักเรียนจัดกลุ่มย่อยพูดคุยกัน และใช้กิจกรรมถามตอบ 20 คำถามเพื่อช่วยฝึกทักษะการฟัง ทำให้การเรียนของเด็กตาบอดง่ายขึ้น

          สำหรับอุปกรณ์การสอนเรื่องเพศศึกษาครูจะนำ เนื้อหาในหนังสือเรื่องเพศศึกษามาจัดทำเป็นอักษรเบรลเอง โดยนำแผ่นสเลท (Slate) เป็น แผ่นพลาสติคที่มีรูเล็กๆ จำนวนมาก และสไตลัส (stylus) ปากกาเข็มเพื่อใช้เจาะกระดาษผ่านสเลทในการประดิษฐ์ตัวอักษรเบรล แต่ละตัว ส่วนการเรียงประโยคจะเรียงตามตัวอักษร แล้วให้สระตามหลัง บนแนวบรรทัดเดียวกันไปตลอด เช่น คำว่า เพศศึกษา จะเรียงว่า เ พ ศ ศ  ก ษา มีหุ่นยางพาราให้เด็กๆ ได้สัมผัสเรียนรู้สรีระร่างกาย

          "เวลาเรียนเรื่องเพศ ศึกษาสิ่งที่เห็นชัดๆ เด็กตาบอดจะมีความกระตือรือร้นมากกว่าวิชาอื่นๆ ทำให้พวกเขารู้บทบาทตัวเองว่าต้องทำอะไร ที่สำคัญพวกเขารู้สึกว่าเรียนตามเพื่อนๆปกติได้ทัน กล้าพูดมากขึ้น"

          แม้สิ่งที่สอนจะเป็นผลดี แต่บางอย่างก็สอนไม่ได้ อ.ชญาทัศน์ บอกว่า เนื้อหาอย่างเรื่องถุงยางอนามัย อวัยวะเพศ จะไม่กล้าสอนเด็กพิเศษอย่างเด็กออทิสติคตาบอด เพราะเวลาสอนเรื่องเพศศึกษาอื่นๆ จะให้พวกเขาได้นำไปลองฝึก ลองทำ และมาบอกให้รู้ว่าเขาทำได้ แต่เรื่องการใช้ถุงยางเป็นสิ่งที่ต้องระวัง หากเขาไปลองทำผิดๆ ถูกๆ อาจไม่เป็นผลดีกับเด็กได้

          อ.ชญาทัศน์ บอกอีกว่า สอนมา 5 ปี รู้สึกได้ให้พวกเขามากกว่าที่คิด และสิ่งที่ได้กลับมาเป็นสิ่งที่ดีด้วย

          "พวกเขาเปิดใจรับฟังกันมากขึ้น เกิดความไว้วางใจ เด็กที่ขี้อายกล้าพูดมากขึ้น ได้เรียนรู้เรื่องเพื่อนมากขึ้น เข้าใจว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่สำคัญได้รู้จักตัวเองมากขึ้นด้วย เด็กพิเศษมีอารมณ์ความรู้สึกทางเพศเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นเหมือนคนปกติ แต่ไม่เคยมีใครพูดเคยสอนเขาเรื่องนี้ หลายคนไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ทำให้เขาไม่รู้จักดูแลตัวเอง พอได้เรียนรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะไม่ถูกเอาเปรียบ และรู้จักวิธีป้องกัน ซึ่งครูต้องอาศัยความละเอียดอ่อน และช่างสังเกตพฤติกรรมเด็ก เพราะบางคนไม่สามารถพูดหรือบอกเราได้ตรงๆ"

          จะโลกมืด โลกสว่างก็สามารถเรียนเรื่องเพศได้อย่างไม่ปิดกั้น

ข้อมูลจาก:สสส.

ความลับของรอยยิ้ม

คนเรามักละเลยที่จะหาความสุขจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว

"มัน เป็นเช้าที่หม่นหมองที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของฉัน หลังจากมีปัญหากับสามีรุนแรงขึ้น เรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่เขาตกงาน ในที่สุดเราก็แยกทางกันอีกครั้ง (ถ้านับจากครั้งล่าสุดเมื่อสองปีที่แล้ว)  

ปัญหาเศรษฐกิจสำหรับตัวฉันและลูกชายที่เพิ่งครบขวบคงไม่ เลวร้ายไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะตั้งแต่สามีตกงาน เงินทั้งหมดที่ใช้จ่ายในบ้าน ก็คือรายได้จากเงินเดือนเสมียนของฉัน การเลิกร้างกับสามีครั้งนี้ทำให้ฉันปวดร้าวลึกซึ้งกว่าสมัยสาวๆ เสียอีก ถ้าจะพูดให้โอเวอร์ก็เรียกได้ว่าหัวใจสลายโดยสิ้นเชิง"

              ปลายเสียงของพิมาลาแผ่วเบา เมื่อเล่าถึงความทรงจำที่เจ็บปวดในครั้งนั้น แต่สิ่งที่เธอตั้งใจจะเล่าไม่ใช่ความขมขื่นในชีวิต แม่ลูกหนึ่งวัยสามสิบปลายๆ คนนี้ เล่าตอนสำคัญของเรื่องด้วยดวงตาที่แจ่มใสขึ้น

              "ไม่รู้สิ..อะไรๆ มันดูแย่ไปหมด ฟ้าขมุกขมัวทั้งๆ ที่เป็นตอนเช้าแท้ๆ บ้านก็ดูสกปรกรกรุงรัง สิ่งแรกที่ฉันคิดได้ในเช้าวันนั้นก็คือต้องทำความสะอาดบ้าน แล้วฉันก็ลงมือตามใจคิด คว้าเครื่องดูดฝุ่นได้ก็ไถๆๆๆ กลับไปกลับมาทั่วห้อง และจมอยู่กับงานเต็มที่ "

              ไม่น่าเชื่อว่าดวงตาของเธอมีประกายของความ สุขเห็นชัดเมื่อเล่าถึงตรงนี้ "ตอนนั้นล่ะ พอฉันเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำ ฉันก็เห็นลูกชายที่เพิ่งหัดเดินของฉันยืนอยู่ใกล้ๆ ในมือ แกมีเครื่องดูดฝุ่นของเล่นที่คงจะใช้ถูเลียนแบบฉันอยู่ ลูกจ้องฉันด้วยดวงตาใสแจ๋วอย่างไร้เดียงสา วินานีนั้นแหละที่ฉันรู้สึกว่า ไม่อยากได้อะไรจากชีวิตอีกแล้ว นอกจากความสุขจากการใช้ชีวิตชั่วขณะนั้นกับลูกชายของฉัน"

              รู้ตื่น รู้เบิกบาน

              เราส่วนใหญ่เป็นเหมือนพิมาลา คือเหมาเอาว่าเราไม่มีความสุขตลอดเวลา เมื่อคิดอย่างนั้นก็เลยทำให้ไม่มีความสุขเข้าจริงๆ ลองทบทวนดูอีกทีว่า มีใครที่ไหนที่จะมีความสุขทั้ง 24 ชั่วโมง ความสุขจะค่อยๆ ปะติดประต่อจากเศษเล็กเสี้ยวน้อยในแต่ละวันต่างหากเล่า ความลับของความสุขอยู่ตรงนี้ อยู่ที่การเรียนรู้ที่จะสัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียง ในเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ของการดำเนินชีวิต ณ ขณะปัจจุบัน เหมือนความสุขที่เจ้าหนูวัยเตาะแตะ ได้จากการทำงานด้วยเครื่องดูดฝุ่นของเล่น

              ศาสนาพุทธเรียกการตระหนักรู้ในปัจจุบันว่า "สติสัมปชัญญะ" คือการดำรงอยู่อย่างตระหนักรู้เท่าทันปัจจุบัน หรืออยู่อย่างมีชีวิตจิตใจ รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ และรู้สึกอย่างไร เป็นภาวะที่จิตไม่คิดกังวลถึงสิ่งใดเว้นแต่ขณะที่เรากำลังเป็นอยู่เท่านั้น "ชีวิตมีอยู่จริงในปัจจุบันขณะนี้เท่านั้น ปัจจุบันเป็นที่รวมทั้งอดีตและอนาคต ทำปัจจุบันให้ดีก็หมายถึงเราแก้อดีตได้ที่ผลของอดีต คือปัจจุบัน เราทำปัจจุบันให้ดีอนาคตก็ไม่ต้องกังวลใจ

              เรามีกายที่เคลื่อนไหวแต่ใจนิ่งจากความขุ่น มัว ในเมื่อชีวิตมันมีอยู่จริงในขณะนี้ เพราะฉะนั้นขณะนี้จึงเป็นขณะที่เราควรจะดูแลมันให้มีความสุขที่สุด" แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน ผู้ปฏิบัติธรรมที่มุ่งใช้แนวคิดทางศาสนาเพื่อพัฒนาบุคคลและชุมชน ให้ความหมายที่กระจ่างชัดของจิตที่เป็นสุข ซึ่งอาศัยหลักคิดจากพุทธศาสนา

              เมื่อปัจจุบันเต็มเปี่ยมและจิตใจไม่ ถูกรบกวนจากอะไรก็ตามนอกเหนือจากนั้น รับรู้ถึงการสัมผัสกับธรรมชาติ ตลอดจนผู้คนที่อยู่รอบตัว นั่นคือความสุข ถ้าจะมีกุญแจใดๆ ในการนำไปสู่ความสุข มันก็คือการใส่ใจและเต็มอิ่มต่อปัจจุบัน และสร้างสรรค์โอกาสเช่นนี้ในชีวิตให้มากขึ้นเรื่อยๆ คนมักเข้าใจความหมายของความสุขผิดไปอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังที่เกินจริง หรือการวิ่งหาความสุขจากสิ่งอื่นๆ ภายนอกจิตใจตัวเอง จึงเป็นเรื่องเศร้าเมื่อคิดว่าชีวิตคู่ที่ใกล้จะล้มเหลวคงจะมีความสุขขึ้น ถ้าได้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่กลับไม่เคยเป็นสุขเลยเมื่อเดินเล่นในสวนหลังบ้านของตัวเอง

              ความสุขอยู่หนใด

              นักธุรกิจหญิงที่ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างสูงคนหนึ่ง ค้นพบว่าความสุขที่แท้จริงของเธอไม่ได้อยู่ที่การขึ้นสู่จุดสูงสุดของ หน้าที่การงาน แต่กลับเป็นเรื่องเล็กน้อยจนน่าแปลกใจ "ตอนเย็นเมื่อฉันกลับมาถึงบ้าน และยืนอยู่ข้างโต๊ะไม้กลมในครัว เฝ้ามองลูกสาววัย 11 ขวบ กำลังอุ้มเจ้าหนูแฮมสเตอร์ไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับแปรงขนยาวนุ่มของมันอย่างทะนุถนอมข้างๆ เธอคือน้องชายวัย 8 ขวบ ที่มีดวงตาถอดแบบมาจากฉัน มันเหมือนกำลังดูภาพฉายจากภาพยนตร์มากกว่าจะเป็นความจริง เวลาเหมือนถูกทำให้นิ่งสนิท ฉันมองดูเด็กๆ และตระหนักว่าไม่มีสถานที่ใดในโลกจะมีความหมายมากกว่าที่นี่"

              ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว

              สัญญาณของภาวะไร้สุขนั้นอาจเบาบางจนเกือบ สังเกตุไม่เห็น แต่สัญญาณนั้นก็มีอยู่จริง ความรู้สึกไม่พึงพอใจต่อชีวิต อาจแสดงออกในรูปแบบของการทำให้ตัวเองยุ่งอยู่เสมอเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้า นั้นไว้ หรือทำลายความเงียบด้วยการเปิดโทรทัศน์หรือวิทยุไว้ตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้อง การรับรู้อย่างแท้จริง เป็นแต่เพียงการเหนี่ยวรั้งตัวเองให้อยู่กับปัจจุบันให้ได้ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ อาการอื่นๆ ที่สังเกตได้ ยังออกมาในรูปของความผิดปกติในการกิน เช่น อาจจะกินหรือดื่มมากเกินไปเพื่อขจัดความเครียด หรือแม้แต่การมีชีวิตอยู่อย่างซังกะตายกับสามีและลูกๆ

              และส่วนที่ปรากฏทางความคิด อาจเกิดขึ้นในรูปของการมีมุมมองที่เย้ยหยันต่อโลกคือมองมันในแง่ร้ายทั้งหมด สิ่งเหล่านี้อาจเกิดจากความผิดหวังหรือสูญเสียในอดีต ซึ่งความปวดร้าวนั้นทำให้จมจ่อมอยู่กับมันจนลืมสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นจริงใน ปัจจุบัน ความรู้สึกอบอุ่นอย่างเต็มเปี่ยมต่อการได้ยืนจ้องลูกๆ ที่รักในห้องครัว ดังกรณีของนักธุรกิจหญิงผู้เป็นแม่ คงเกิดขึ้นไม่ได้หากเธอเป็นแม่ที่มีปัญหาหรือมีความโกรธต่อบางสิ่ง บางอย่างอยู่ในใจ

              น.พ.บัณฑิต ศรไพศาล จิตแพทย์ประจำศูนย์สุขภาพจิต กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และคอลัมนิสต์ตอบปัญหาสุขภาพจิตผู้มีชื่อเสียง อธิบายถึงสาเหตุและการสังเกตสัญญาณต่างๆ ของภาระไร้สุขไว้ว่า "คนเราจะมีความสุขต่อเมื่อบรรลุความต้องการ คือมีความสมดุลระหว่างความต้องการกับความสามารถ เมื่อไหร่ที่ความต้องการมีมากกว่าความสามารถก็ไม่มีความสุข

              แต่ถ้าความต้องการไม่มากกว่าความสามารถ หมายความว่าสามารถไปถึงความต้องการได้ ก็จะได้ความสุข มันคล้ายกับการยกของ ถ้าเกินกำลังก็ไม่มีความสุข เพราะมันหนักเกินกว่าร่างกายและจิตใจจะรับไหว เหมือนยกของหนักมากมันก็จะกดดันเป็นธรรมดา ซึ่งจะเกิดปรากฏการณ์ที่แสดงออกทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์

              อาการที่อาจเกิดขึ้นได้ มีตั้งแต่ปวดหัว นอนไม่หลับ ใจสั่น ท้องผูก กินไม่ได้น้ำหนักลด หรืออาจจะกินมากเกินไปก็ได้ รวมทั้งอาจจะมีอาการชาตามือตามเท้า ตาพร่าพราย คือมันเกิดขึ้นได้กับทุกระบบ เพราะมันมาจากจิตใจซึ่งส่งผลต่อสมอง แต่ถ้าเป็นเฉพาะระบบใดระบบหนึ่งก็อาจเป็นโรคทางกาย แต่ถ้าไม่ได้เจ็บป่วยทางกายอะไรแล้วแสดงอาการพร้อมกันหลายอย่าง ก็เป็นได้ว่าอาจมาจากจิตใจ ซึ่งแต่ละคนก็แสดงออกมาไม่เหมือนกัน

              บางคนออกด้านอารมณ์ หงุดหงิด งุ่นง่าย เซ็ง โมโหง่าย หรือเศร้าซึมท้อแท้ แต่ถ้าเป็นด้านพฤติกรรมก็อาจจะมีอาการนอนไม่หลับ หรือกินอยู่ตลอดเวลา มันก็แล้วแต่ว่าจริตใครจะออกแบบไหน"ลองถามตัวเองว่า ความพลาดหวังในอดีตหรือความปวดร้าวใดๆ ก็ตาม คุกคามเราอยู่กี่ปี สอง สาม หรือสิบปี ทำไมต้องปล่อยให้มันมีอิทธิพลมากมายถึงเพียงนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ใจเศร้าหมองจนพลาดโอกาสสำคัญๆ ที่งดงามในชีวิตปัจจุบันไปเท่านั้น มันยังส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายให้แปรปรวนได้อย่างน่ากลัว ให้มันจบลงเสียทีดีไหม

              สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อเติมปัจจุบันให้เต็ม และสามารถรื่นรมย์กับชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น คือการแก้ปัญหาที่ส่งผลมาจากความเศร้าในอดีตเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการบำบัด การออกกำลังกาย หรือวิธีใดๆ ก็ตามที่จะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ในชีวิต สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ใจเป็นสุขได้ คือการช่วยเหลือผู้ที่กำลังอยู่ในความทุกข์ หรือแม้แต่การให้เล็กๆ น้อยๆ ต่อผู้คนรอบข้างในชีวิตประจำวัน เพราะนอกจากจะทำให้ความเจ็บปวดเบาบางลงแล้ว คุณค่าความหมายจากการได้ให้ ยังเป็นความสุขที่ส่งต่อกันได้เหมือนการล้มของโดมิโน

ข้อมูลจาก:สสส.

ฝึกจิตคิดเป็นบวก

พลังที่จะทำให้ผู้คนก้าวพ้นจากภาวะที่ย่ำแย่

เวลานี้ต้องบอกว่า สังคมกำลังอุดมความเครียดอย่างเต็มพิกัด ซ้ายก็เครียด ขวาก็อึดอัด เดินหน้าไม่ดี ถอยหลังก็ไม่ได้ เป็นภาวะที่บีบคั้นหัวใจเป็นอย่างมาก

             ดังนั้นในสภาวการณ์แบบนี้ หัวจิตหัวใจที่มั่นคง คือ พลังที่จะทำให้ผู้คนก้าวพ้นจากภาวะเช่นนี้ไปได้ พลังจากจิตที่แม้กระทั่งยอดอัจฉริยะอย่างไอสไตน์ยังเชื่อว่า มีพลังและมีอำนาจมากที่สุด แม้กระทั่งระเบิดปรมาณูที่เขาคิดค้นขึ้นยังสู้ไม่ได้ และจะดีแค่ไหน หากเรารู้จักที่จะใช้พลังอันทรงอานุภาพนี้มาช่วยสยบความร้อนรุ่ม และวิธีที่ว่านี้ต้องใช้เรื่องของการ "คิดบวก" เข้ามาช่วย

             แต่จะคิดบวกได้อย่างไร ลองดูวิธีเหล่านี้
             
             "ทำสมาธิ" ควรตั้งสติ และนั่งสมาธิให้ได้ทุกวัน วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่คลื่นผ่อนคลายสุด ๆ จะทำให้มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เมื่อมีสมาธิ จิตที่คิดบวกจะเข้าไปกระตุ้นต่อมพิทูอิตารีให้หลั่งฮอร์โมนดีมีประโยชน์ต่อ ร่างกายได้อีกด้วย

             "หายใจลึก" สมองจะต้องใช้ออกซิเจน ที่เข้าสู่ร่างกายมากถึง 20-25% หรือ 1 ใน 4 ของการใช้ออกซิเจนทั้งหมด การหายใจลึก ๆ ควรนั่งหลังตรง เพื่อให้ออกซิเจน เข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น จะช่วยส่งพลังไปถึงสมองได้ดียิ่งขึ้น

             "หัวเราะหรือยิ้มบ่อย ๆ" จะช่วยไปกระตุ้นทำให้สารแห่งความสุขหลั่งออกมา ช่วยให้มองโลกแง่ดี เกิดความรักและหวังดีต่อผู้อื่น

             "บันทึกสิ่งดี ๆ" ฝึกเขียนขอบคุณกับเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน จะทำให้สมองคิดบวก จะช่วยทำให้นอนหลับ มีสมาธิ และมีความคิดสร้างสรรค์

             วิธีเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง อัจฉริยะของ "หนูดี" วนิษา เรซ นำมาใช้ หรืออาจจะใช้วิธีดี ๆ ของพระอาจารย์ "ว.วชิรเมธี" แนะว่า ให้ใช้การ "มองโลก" อย่างเป็นจริง และ "ยอมรับ" พร้อมกับเปลี่ยนมุมมองวิธีคิดให้ไม่ทำร้ายตัวเอง อย่างเช่น...

เวลาเจอ....ปัญหาซับซ้อน บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอ...ทุกข์หนัก...บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยสร้างทักษะในการดำเนินชีวิต

เวลาเจอ...คนเลว บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจอ...วิกฤต บอกตัวเองว่า นี่คือ บทพิสูจน์ว่า ในวิกฤตย่อมมีโอกาส

             และนี่คือโอกาสในวิกฤตที่จะได้ฝึกจิต คิดเป็นบวกเสียที 

ที่มา: เฮลล์คร์อนเนอร์