สูตรลับหน้าใส ของสาวนอนผิดเวลา

สูตรลับหน้าใส ของสาวนอนผิดเวลา (Health & Cuisine)

คนที่นอนน้อย นอนผิดเวลา และอดนอน ผิวจะไม่เปล่งปลั่งสดใส แถมยังอ้วนง่าย คนข่าวที่ต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีสองทุกวันอย่าง คุณกุ๊ก-กฤติกา ศักดิ์มณี จึงต้องจัดระเบียบทั้งการกินและนอน เพื่อรับมือกับปัญหานี้ตั้งแต่เนิ่นๆ

"กุ๊กตื่นนอนตั้งแต่ตีสอง ระหว่างขับรถมาทำงานจะกินนม ขนมปัง เหมือนเป็นอาหารเช้า ช่วง 10 โมง จะกินมื้อเที่ยง ต่อด้วยอาหารเย็นตอนบ่ายสองโมง สี่โมงเย็นก็เข้านอนแล้ว เพราะวิถีชีวิตไม่เหมือนคนอื่น กุ๊กจึงเคร่งครัดกับตารางชีวิต แต่ละวันต้องนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง ห้องนอนต้องจัดให้มืดเพื่อให้หลับสนิท"

"ปกติร่างกายคนเราจะได้หลั่งโกร๊ธฮอร์โมนเพื่อช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวใน ช่วงกลางคืน แต่เมื่อเปลี่ยนมานอนกลางวันกุ๊กจึงต้องชดเชยด้วยอาหารที่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว โดยกินแป้งน้อย เน้นปลา ผัก ผลไม้สดที่มีวิตามินบี และซี เพื่อเพิ่มความสดชื่น ช่วยลดความเครียดจากการอดนอน ระหว่างมื้อจะดื่มน้ำผลไม้ เป็นน้ำแครอทปั่นผสมกับผลไม้อื่นๆ ซึ่งคุณพ่อจะเตรียมไว้ให้เสมอ ช่วงหลังหันมาดื่มน้ำมะพร้าวด้วย เพราะคุณอาแนะนำว่าเป็นน้ำผลไม้ที่ปราศจากสารพิษ"

"หากอยู่บ้านในช่วงวันหยุดกุ๊กจะชอบหมักผมด้วยน้ำมะกรูดหรือน้ำมันมะกอก ใช้เปลือกมะนาวถูเล็บถูมือ หรือขัดผิวด้วยมะขามเปียก ซึ่งก็เป็นสูตรง่ายๆ ที่ทำได้ทุกคน"

สูตรพอกหน้าใส

ส่วนผสม

ข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ

มะเขือเทศลูกใหญ่ปั่นละเอียด 2 ลูก

น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ


นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมกัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15-30 นาทีแล้วล้างออก หากเหลือเก็บใส่กล่องแช่เย็นได้นาน 1 สัปดาห์

ขอขอบคุณข้อจาก...http://www.healthandcuisine.com/hc2004/beauty_home.asp

เหงื่อบอกโรค

เหงื่อบอกโรค (twenty four – seven magazine)
เหงื่อจะเกิดขึ้นก็ต่อ เมื่อร่างกายสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น 2 อย่าง คือ ความร้อน และอารมณ์ ในทางการแพทย์ระบุว่า เหงื่อสามารถบ่งบอกอาการของโรค บางชนิดได้ โรคที่สัมพันธ์กับเหงื่อมี 2 ประเภท คือ

1. โรคที่ทำให้เหงื่อออกมาก

- เครียด เหงื่อจะออกมากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ และหน้าผาก ประกอบกับมีอาการอื่นร่วม เช่น ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น มือสั่น

- ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือคอพอก เหงื่อจะซึมออกมาทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง ร่วมกับมีอาการขี้หงุดหงิด มือสั่น ขี้ตกใจ น้ำหนักลด ตาโปน ผมร่วง เหนื่อยง่าย ใจสั่น หิวน้ำบ่อย โรคหัวใจ เหงื่อแตก ร่วมกับใจสั่น เหนื่อยหอบ ขณะออกกำลังกาย หากมีอาการแน่นที่คอและหน้าอก เหงื่อออกตามนิ้วมือนิ้วเท้าทุกครั้งที่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง

2. โรคที่ทำให้เหงื่อออกน้อย

- โรคผิวหนัง เช่น ผด ผื่น สะเก็ดเงิน ผิวแห้งแตกหยาบ เนื่องจากต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังถูกกดไว้จนไม่สามารถขับเหงื่อได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการอุดตันในขุมขนและเป็นโรคได้ในที่สุด

- ไมเกรน คนที่มีความเครียดเป็นทุนเดิม ชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ หากร่างกาย ได้รับการกระตุ้นจนเกิดความร้อนสะสมแต่กลับไม่มีเหงื่อออกมา อาจทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ เกิดภาวะปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนเป็นไมเกรน



ขอขอบคุณข้อมูลจาก...http://www.247freemag.com/

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ..วิตามิน ซี

เมื่อพูดถึงวิตามินซี หลายคนคงนึกถึงผลไม้รสเปรี้ยว อย่างเช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขามหวาน มะขามป้อมและอีกมากมาย ขอเพียงแต่เป็นผักผลไม้สดๆ เป็นใช้ได้ หรือบางคนอาจนึกถึงยาเม็ดสีส้ม สีเหลือง ที่มีรสชาติออกเปรี้ยวๆ หวานๆ ไว้กินเวลามีเลือดออกตามไรฟัน ในความเป็นจริงแล้ววิตามินซีมีประโยชน์มากมายกว่านั้น

วิตามินซี มีประวัติการค้นพบตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่า ทหารเรือออกเดินเรือเป็นระยะเวลานานๆ ไม่ได้รับประทานผักและผลไม้สด จึงมักป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาวเป็น ประจำ ต่อมาจึงได้หาสารอาหารที่เป็นต้นเหตุได้ คือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbicacid) หรือวิตามินซีนั่นเอง


ประโยชน์ของวิตามินซีมีมากมาย นอกเหนือจากที่จะช่วยบรรเทาอาการของโรคหวัดทำให้หายเร็วขึ้นถึง 21% คือ

1. วิตามินซีช่วยปกป้องเซลล์ เสริมภูมิคุ้มกันสุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้อง กับเส้นเอ็นและคอลลาเจน

2. วิตามินซีช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เนื่องจากช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเอง โดยการไปเสริมสร้างผนังเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและต่อต้านการอักเสบ จึงทำให้แผลหายเร็ว

3. วิตามินซีช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดยจะไปช่วยรักษาเซลล์ที่ถูกทำลาย และช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว

4. วิตามินซีช่วยเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับวิตามินอี โดยจะไปลดการเกาะของไขมันที่ผนังหลอดเลือด

5. วิตามินซีช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจากวิตามินซีสามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควัน บุหรี่ แสงอัลตราไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก

6. วิตามินซีช่วยป้องกันไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ Pantothenic acid โดยวิตามินซีจะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น

7. วิตามินซีช่วยลดความเครียด และยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนกรดอะมิโนให้กลายเป็นสารในสมอง ซึ่งมีความจำเป็นต่อสมองและหน้าที่ของระบบประสาทด้วย

8. วิตามินซีช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค โดยเฉพาะประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาว

การรับประทานวิตามินซี ภาวะปรกติปริมาณที่แนะนำให้ทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม เพื่อสุขภาพที่ดีจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ที่นิยมรับประทานวิตามินซีไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับในปริมาณที่มากเกินไป เพราะสามารถละลายในน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่มีการรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินซี แม้รับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000-18,000 มิลลิกรัม

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อพึงระวังในการรับประทานวิตามินซี การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซับแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium อาจมีผลต่อความผิดพลาดของผลการตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้ วิตามินซีทำให้การดูดซึมแร่ธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับแร่ธาตุเหล็กเกิน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก..."เวปไซด์ไทยโพสต์"

4 วิธีดับรสเผ็ดร้อนจาก..พริก

"โอ๊ย...เผ็ดๆๆ น้ำตาจะไหลแล้ว ส้มตำจานนี้เผ็ดจังเลย ดื่มน้ำไปตั้งหลายแก้วก็ยังไม่หายเสียที ถ้าอย่างนั้นฉันขอน้ำเย็นอีกสักแก้วสิเธอ"

หยุดก่อนครับผม อาจเป็นความเข้าใจผิดของใครหลายๆ คนที่เคยเกิดอาการเช่นนี้ และแก้ไขด้วยการดื่มน้ำเย็น คุณเคยสงสัยไหมว่าถึงแม้เราจะดื่มน้ำไปหลายแก้วก็ยังไม่หายเผ็ดเสียที แถมยิ่งรู้สึกเผ็ดมากขึ้นด้วยซ้ำนั้นเป็นเพราะอะไร

รสชาติอันเผ็ดร้อนของพริกนั้นมาจากสารประกอบเข้มข้นที่มีชื่อว่า แคปไซซิน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในแก่นสีขาวใจกลางพริกและเมล็ดพริก นอกจากนี้ยังกระจายไปทั่วเนื้อพริก เมื่อเรากินอาหารที่มีพริกเข้าไป แคปไซซิน จะทำให้เกิดรสชาติเผ็ดร้อนในปาก จนทำให้น้ำมูกน้ำตาไหลได้ ดื่มน้ำเย็นเข้าไปก็จะยิ่งกระจายสาร แคปไซซิน ซึ่งเป็นตัวการความเผ็ดไปทั่วปาก จึงทำให้เรารู้สึกเผ็ดมากขึ้น

ในขณะที่บางคนลงครัวช่วยคุณแม่ทำกับข้าวและหั่นพริก ก็อาจจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่มือได้เพราะสัมผัสกับแคปไซซินที่ทำให้ระคาย เคืองผิวเข้าให้ เรามี 4 วิธีการดีๆ ที่ช่วยดับความเผ็ดร้อนของพริกมาฝากคุณครับผม


1. ใช้ความหวานเข้าช่วย เคี้ยวโดนเม็ดพริกขี้หนูเข้าไปเต็มปาก ต้องใช้ความหวานของอาหารใกล้ๆ ตัว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวเหนียว หรือขนมปังโฮลวีทนุ่มๆ ที่ช่วยคุณได้ เพราะความหวานของอาหารเหล่านี้จะช่วยดูดซับสารแคปไซซินที่ทำให้เกิดความเผ็ด ร้อนให้หมดไป

2. ผลไม้แก้เผ็ด ใช้วิธีดื่มน้ำมะนาวหรือน้ำมะเขือเทศสดๆ จะช่วยแก้เผ็ดได้เช่นกัน เพราะกรดจากผลไม้เหล่านี้จะไปทำปฏิกิริยากับสารดังกล่าว ซึ่งเป็นด่าง ทำให้ความเผ็ดลดลง

3. เกลือบรรเทาปวดแสบร้อน หากคุณหั่น ซอย หรือว่าเด็ดพริกขี้หนู แล้วแสบร้อนไปทั่วบริเวณนิ้ว หรือมือที่สัมผัสกับพริกขี้หนู แก้ได้ไม่ยากค่ะ โดยนำเกลือแกงที่เราใช้ปรุงอาหาร สักหนึ่งช้อนแกง ลูบลงบนมือถูไปถูมา ความแสบร้อนก็จะคลายลงครับผม

4. ลูบถูแป้งคลายร้อน หากหยิบเลือกพริกจนมือรู้สึกแสบร้อนแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยคุณได้ ลองใช้แป้งเด็กทาตัว หรือแป้งหมี่ที่เราใช้ทำอาหาร ลูบถูไปมาตรงบริเวณมือและนิ้วที่รู้สึกแสบร้อน สักครู่ก็จะรู้สึกดีขึ้นครับผม เพราะฤทธิ์เยอะ เยียวยายากอย่างนี้เอง ชีวจิตจึงไม่แนะนำให้กินรสจัด ถ้ายังไม่เชื่อก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ก็ต้องทนเผ็ดกันไปนะครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก "เวปไซด์ชีวจิตดอทคอม"

ครีมกันแดด จำเป็น และเป็นจริงแค่ไหน

"ครีมกันแดด" เป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นของคนสมัยใหม่ ที่เชื่อว่าจะช่วยป้องกันรังสียูวี ซึ่งเป็นต้นเหตุของริ้วร้อยและโรคมะเร็งผิวหนัง แต่เรารู้จักสิ่งนี้ดีแค่ไหน และโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณมากมาย มีความเป็นจริงหรือไม่ ?!?

วันนี้มีผลการทดสอบผลิตภัณฑ์กันแดด ทั้งประเภทครีม โลชั่นและสเปรย์ ที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT ทดลองไว้มาฝากผู้อ่าน หลังจากที่ห่างหายไปนานพอสมควร การทดลองครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อสำรวจผลิตภัณฑ์กันแดดในท้องตลาดมีค่า SPF ที่แท้จริงเท่าไหร่ และมีประสิทธิภาพในการกันน้ำ ตามที่แจ้งไว้บนฉลากหรือไม่ โดยมีอาสาสมัครอุทิศแผ่นหลังและท้องแขน เพื่อการทดลองประมาณ 10 -14 คน ต่อหนึ่งผลิตภัณฑ์
จากการทดสอบพบว่า

ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มีค่า SPF ใกล้เคียงกับที่กำหนดไว้บนฉลาก หรือไม่ก็มีมากกว่า อย่างไรก็ตาม มีผลิตภัณฑ์ 3 ชิ้นที่มีค่า SPF ต่ำกว่าที่แจ้งไว้ และ 1 ในนั้นมีค่า SPF ไม่ถึงครึ่งของที่แจ้งไว้

ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เหลือประสิทธิภาพในการกันแดดมากกว่าร้อยละ 50 ภายหลังที่ผิวหนังถูกน้ำ ตามรายละเอียด ดังนี้


1. นีเวีย - Nivea Sun Moisturising Sun Spray SPF 15
ค่า SPF ที่วัดได้เมื่อผิวหนังแห้ง คือ 16.9 - % ของค่า SPF ที่เหลือเมื่อผิวถูกน้ำ คือ 65 %

นีเวีย - Nivea Sun Soin Hydratant Lait Protecteur 20
ค่า SPF ที่วัดได้เมื่อผิวหนังแห้ง คือ 23.7 - % ของค่า SPF ที่เหลือเมื่อผิวถูกน้ำ คือ 61 %

2. บู๊ทส์ - Boots Soltan Moisturising Sun Care Lotion SPF 15
ค่า SPF ที่วัดได้เมื่อผิวหนังแห้ง คือ 15.2 - % ของค่า SPF ที่เหลือเมื่อผิวถูกน้ำ คือ 70 %

3. เทสโก้ - Teso Sun Protection 15 Mediium SPF
ค่า SPF ที่วัดได้เมื่อผิวหนังแห้ง 12 - % ของค่า SPF ที่เหลือเมื่อผิวถูกน้ำ คือ 69 %

4. Marks & Spencer Sun Formula Moisturising Lotion SPF 15
ค่า SPF ที่วัดได้เมื่อผิวหนังแห้ง 7.1 - % ของค่า SPF ที่เหลือเมื่อผิวถูกน้ำ คือ 92 %

5. เอวอน - Avon Bronze SPF 15 Sensitive Sun Lotion Spray
ค่า SPF ที่วัดได้เมื่อผิวหนังแห้ง 18.1 - % ของค่า SPF ที่เหลือเมื่อผิวถูกน้ำ คือ 85 %

6. การ์นีเย่ - Garnier Ambre Solaire Moisturising Protection Milk SPF 15
ค่า SPF ที่วัดได้เมื่อผิวหนังแห้ง 16.3 - % ของค่า SPF ที่เหลือเมื่อผิวถูกน้ำ คือ 80 %

การ์นีเย่ - Garnier Solaire clear Protect SPF 15
ค่า SPF ที่วัดได้เมื่อผิวหนังแห้ง 18.7 - % ของค่า SPF ที่เหลือเมื่อผิวถูกน้ำ คือ 83 %


การ์นีเย่ - Garnier Solaire clear Protect SPF 20
ค่า SPF ที่วัดได้เมื่อผิวหนังแห้ง 18.1 - % ของค่า SPF ที่เหลือเมื่อผิวถูกน้ำ คือ 86 %

7. ลอรีอัล - Solar Expertise Advanced anti-ageing Sun Protection Lotion SPF 15
ค่า SPF ที่วัดได้เมื่อผิวหนังแห้ง 15.8 - % ของค่า SPF ที่เหลือเมื่อผิวถูกน้ำ คือ 80 %

ลอรีอัล - Solar Expertise Lait Solaire Protection Avance SPF 20
ค่า SPF ที่วัดได้เมื่อผิวหนังแห้ง 18.3 - % ของค่า SPF ที่เหลือเมื่อผิวถูกน้ำ คือ 81 %

ลอรีอัล - Solar Expertise Lait brumiseur Protection Avance SPF 20
ค่า SPF ที่วัดได้เมื่อผิวหนังแห้ง 27.8 - % ของค่า SPF ที่เหลือเมื่อผิวถูกน้ำ คือ 54 %

8. ร็อค - ROC Minesol Lait Spray SPF 20
ค่า SPF ที่วัดได้เมื่อผิวหนังแห้ง 27.3 - % ของค่า SPF ที่เหลือเมื่อผิวถูกน้ำ คือ 60 %

9. Vichy Capital Soleil Lait Gel SPF 20
ค่า SPF ที่วัดได้เมื่อผิวหนังแห้ง 18.1 - % ของค่า SPF ที่เหลือเมื่อผิวถูกน้ำ คือ 51 %


ไขข้อข้องใจ เรื่องผลิตภัณฑ์กันแดด
โดย รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกูล

หลักการเลือกครีมกันแดด

1. ผู้ที่ทำงานในอาคารและเดินทางโดยไม่ต้องถูกแสงแดดมาก เช่น ขับรถส่วนตัวหรือนั่งรถไฟฟ้า สามารถทาครีมกันแดด SPF 6 - 14 หรือไม่อาจจำเป็นต้องทาเลยด้วยซ้ำไป

2. ผู้ที่ต้องเดินทางนอกสถานที่เป็นประจำ ควรเลือกครีมกันแดด SPF ระหว่าง 15 - 29

3. ผู้ที่ไปเที่ยงกลางแจ้ง ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF สูงๆ แต่พวกค่า SPF 130 ถือว่าไม่มีความจำเป็น ทั้งนี้ อย.ของสหรัฐรับรองครีมกันแดดค่า SPF สูงสุดที่ SPF 50 เท่านั้น

ปริมาณการใช้ที่เหมาะสม

ควรเน้นทาให้ทั่วใบหน้าหรือลำตัว ทั้งนี้ ตามหลักวิชาการระบุว่า ควรทาครีมกันแดดหนาประมาณ 2 มิลลิกรัมต่อ 1 ตร.ซม. นอกจากนี้ ควรทาทิ้งไว้ก่อนออกแดดนาน 15 - 30 นาที และควรทาซ้ำทุก 2 - 3 ชั่วโมง

การที่โฆษณาระบุว่า ควรทาครีมกันแดดแม้ในวันที่ไม่ต้องถูกแดด จริงหรือเท็จอย่างไร

งานวิจัยพบว่าหลอดไฟมีรังสียูวีเอ ซึ่งส่งผลต่อการเกิดริ้วรอยบนใบหน้า อย่างไรก็ตาม แสงจากหลอดไฟถือเป็นความเสี่ยงที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับปัจจัยอื่นๆ เช่น ความเครียด มลภาวะ การรับประทานอาหาร ดังนั้น จึงไม่ควรใส่ใจมากเกินไป เชื่อว่าผู้ขายคงต้องการขายสินค้าให้ได้มากๆ เท่านั้น

การทาครีมกันแดดมากเกินไปเป็นประจำ อาจสร้างปัญหาใหม่ คือ การสะสมสารเคมีที่ผิวหนัง

การที่โฆษณาระบุว่า ผลิตภัณฑ์ที่มี "ไลโปโซม" จะช่วยพาครีมสู่ผิวหนังชั้นนอก ทำให้เนื้อครีมไม่หลุดง่ายนั้น จริงหรือเท็จอย่างไร

เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะไลโปโซมเป็นเทคโนโลยี ที่มีจุดประสงค์ในการนำส่งตัวยาหรือสารอาหารเข้าสู่ผิวหนัง แต่ไม่มีความจำเป็นในแง่ของเครื่องสำอาง เนื่องจากไลโปโซมคงตัวได้ไม่ดีและมักสลายตัวระหว่างการเก็บรักษา

ไทเทเนียมออกไซด์และซิงค์ออกไซด์ ที่เป็นส่วนผสมในสารกันแดด มีอันตรายหรือไม่

สารทั้ง 2 ชนิดถูกจัดอยู่ในประเภทปลอดภัย ทำหน้าที่สะท้อนรังสียูวีออกจากผิวหนัง โดยการเคลือบผิวหนัง และสามารถล้างออกได้โดยการล้างหน้าหรืออาบน้ำ อย่างไรก็ตาม อย.อนุญาตให้ใส่สารทั้ง 2 ชนิดได้ไม่เกิน 25 %



***ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก"เวปไซด์มติชนออนไลน์ ***
โดย กองบรรณาธิการ นิตยสาร "ฉลาดซื้อ" ฉบับที่ 93 โดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

กินปลาดีกว่าน้ำมันปลา ป้องกันความเสี่ยง "โรคหัวใจ"

สถาบันอาหาร สุขภาพ และโภชนาการมนุษย์แห่งนิวซีแลนด์ แนะนำว่า ควรจะกินปลาแซลมอนโดยตรงจะได้ คุณประโยชน์มากกว่ากินน้ำมันปลาแคปซูล

นักวิจัยของสถาบันได้ศึกษาพบว่า แม้ว่าการกินปลากับกินแคปซูลน้ำมันปลาจะได้ประโยชน์พอๆ กัน ช่วยเพิ่มระดับของสารโอเมกา-3 แต่การกินปลายังได้คุณประโยชน์ ช่วยให้เลือดมีความเข้มข้นของเซเลเนียมที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากขึ้น อีกด้วย


ผู้ช่วยศาสตราจารย์เวลมา สโตนเฮาส์ หัวหน้าคณะนักวิจัย ยังแจ้งด้วยว่า เซเลเนียมนอกจากมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเป็น มะเร็ง แล้ว ยังเชื่อว่ามันยังช่วยขจัดความเสี่ยงของโรคหัวใจอีกด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เวปไซด์หนังสือพิมพ์ไทย รัฐดอทคอม

โอเมก้า 3 มีถมเถ กินปลา ต้านโรค แถม ไร้พุง

"เกิดในผู้ใหญ่ที่อ้วน หรือคนอ้วนลงพุง ที่มักออกแรงหรือออกกำลังน้อยเกินไป ปัจจุบันพบว่าเกิดในเด็กด้วย ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ตลอดจนการไม่ออกกำลังกาย ต่างก็เป็นปัจจัยสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น" ...เป็นการระบุโดย ศ.เกียรติคุณ พญ.ชนิกา ตู้จินดา คณะกรรมการกองทุน สสส.

กับภัย "โรคเบาหวาน" ที่นับวันยิ่งป่วยกันมากขึ้น และปัจจัยหรือต้นเหตุที่สำคัญก็คือ "ความ อ้วน !!"

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ "โรคเบาหวาน" ที่คุกคามผู้คนทั่วโลก รวมถึงคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีส่วนสัมพันธ์กับ "ความ อ้วน" และเนื่องในวันเบาหวานโลก 14 พ.ย. ที่กำลังจะมาถึง ทางโรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กรมประมง สสส.-สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กระทรวงพาณิชย์ เครือข่ายคนไทยไร้พุง ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์ "กินปลาไร้พุง ต้านโรคเบาหวาน" ซึ่งก็น่าสนใจ

จากการสำรวจผู้ป่วยที่โรงพยาบาลรามาธิบดีที่มีปัญหา "โรค อ้วน" เฉพาะโรงพยาบาลเดียว ในปี 2551 ยังไม่ทันสิ้นปีก็พบแล้วกว่า 100 ราย ส่วนใหญ่เป็นหญิง สัดส่วนราว 79-80% ขณะที่ผู้ป่วย โรคอ้วนที่เป็นชาย ที่พบในโรงพยาบาลแห่งนี้ในช่วงเดียวกัน มีประมาณ 20-21%


อายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคอ้วนที่พบ ทั้งหญิง-ชาย คือ 44.5 ปี โดยพบคนอ้วนที่รับพลังงานต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คือต่ำกว่า 1,600 กิโลแคลอรีในเพศหญิง ร้อยละ 31.6 ต่ำกว่า 2,000 กิโลแคลอรี ในเพศชาย ร้อยละ 33.3 ซึ่งผู้ป่วยโรคอ้วนในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ "บริโภค อาหารที่มีโปรตีนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน" คือต่ำกว่าร้อยละ 15 ของพลังงานที่ได้รับ และออกกำลังกายในระดับต่ำ

"จึงเป็นการชี้ให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่อ้วนไม่ได้เกิดจากบริโภคอาหารเกินความจำเป็นเท่านั้น แต่ยังอาจเกิดจากการบริโภคอาหารที่ไม่ได้สัดส่วน มีปริมาณโปรตีนน้อยเกินไป"

และโรคภัยอื่นที่จะเกิดตามมาอีก จากการเป็นโรคอ้วนก็คือ "โรคเบาหวาน" ซึ่งองค์การอนามัยโลกประเมินว่าปัจจุบันนี้ทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวานอย่าง น้อย 194 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 300 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2568 หรือในอีก 17 ปีข้างหน้า ขณะที่ในเมืองไทยจากการสำรวจในปี 2547 พบคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานกว่า 3 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่คนไทยไม่ควรวางใจ

องค์การอนามัยโลกระบุว่า เบาหวานเป็นโรคที่มีอันตรายสูงสุด ยิ่งกว่าโรคเอดส์ เพราะขณะนี้ ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึงปีละประมาณ 3.2 ล้านคน ส่วนเอดส์เสียชีวิตเพียงประมาณ 3 ล้านคนต่อปี โดยเบาหวานที่พบบ่อยคือเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกิดในผู้ที่อ้วน-อ้วนลงพุง ออกแรง-ออกกำลังกายน้อย

ขอบอก-ขอเน้น... วิธีการหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาโรคอ้วน ซึ่งหมายถึงต้านโรคเบาหวานได้ด้วย คือการบริโภคปลามากขึ้น เพราะปลาเป็นแหล่ง "โปรตีน" คุณภาพดี-ราคาถูก ซึ่งมีหลายงานวิจัยที่สนับสนุน ว่าการบริโภคปลาหรืออาหารที่มี "โอ เมก้า-3" หรือ "โอเมก้า-ทรี" สูง สามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานทั้งแบบชนิด ที่ 1 และชนิดที่ 2 ได้ และสำหรับโปรตีนจากปลา โอเมก้า-3 จากปลานั้น ก็ใช่ว่าจำเพาะเจาะจงอยู่ที่ปลาทะเลเท่านั้น "ปลาน้ำจืดของไทย" เราก็มีเพียบ-มีถมเถไป !!

อย่างที่ นพ.ฆนัท ครุฑกูล ผู้จัดการศูนย์หัวใจหลอดเลือ ดและเมแทบอลิซึม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาคลินิก และโรคเบาหวาน โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ความรู้ความเข้าใจไว้ว่า... เปรียบเทียบคุณค่าสารอาหารระหว่างปลาทะเลกับปลาน้ำจืดแล้ว ไม่ได้แตกต่างกันมาก จะขึ้นอยู่กับประเภทของเนื้อปลามากกว่า โดยเนื้อปลาที่มีไขมันมาก เช่น ปลาสวาย ก็จะมีโอเมก้า-3 มากกว่าเนื้อปลาที่มีไขมันน้อย เช่น ปลานิล ขณะที่เนื้อปลาที่มีไขมันน้อยก็จะมีปริมาณโปรตีนมากกว่าเนื้อปลาที่มีไขมัน มาก ตรงนี้ก็อยู่ที่การรู้จักเลือกบริโภค

"ปลาสวาย ที่เมืองไทยเรามีมาก มีโอเมก้า-3 ถึง 2,570 มิลลิกรัม ต่อเนื้อปลา 100 กรัม ขณะที่เนื้อปลาแซลมอน 100 กรัม มีโอเมก้า 3 เพียง 1,000-1,700 มิลลิกรัมเท่านั้น"...นพ.ฆนัท กล่าว พร้อมทั้งบอกด้วยว่า... จากที่มีการพบข้อมูลบ่งชี้ว่าการบริโภคอาหารเกินความจำเป็นต่อร่างกายไม่ใช่ ปัจจัยเดียวที่ทำให้ "อ้วนลงพุง เป็นโรคอ้วน" แต่การบริโภคอาหารที่มีปริมาณโปรตีนน้อยเกินไป การบริโภคอาหารที่ไม่ได้สัดส่วน ก็ทำให้อ้วน-เกิดโรคอ้วนได้ ดังนั้น "การ บริโภคปลาก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม"

ทางด้าน ศ.นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ อีกหนึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาคลินิก และโรคเบาหวาน โรงพยาบาลรามาธิบดี ก็ระบุว่า... ในช่วงนี้หลายหน่วยงาน อาทิ โรงพยาบาลรามาธิบดี กรมประมง กรมการค้าต่างประเทศ สหกรณ์ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำฯ สสส. จัดกิจกรรม "กินปลาไร้พุง ต้านโรคเบาหวาน" โดย วันที่ 21-22 พ.ย. ก็จะมีการจัดนิทรรศการให้ความรู้อีกครั้งที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ซึ่งการบริโภคปลา ทั้งปลาทะเลและปลาน้ำจืดช่วยให้อิ่มเร็ว ย่อยง่าย และเป็นแหล่งโอเมก้า 3 แถมจะได้โปรตีนคุณภาพสูงกว่าเนื้อวัว เนื้อหมู

"การบริโภคปลาช่วยป้องกันการเกิด โรคอ้วน มีส่วนช่วยป้อง กันการเกิดโรคเบาหวาน และโรคหัวใจ รวมถึงช่วยในการพัฒนาและเสริมสร้างเซลล์สมองด้วย" ...แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวแนะนำ

"ปลาน้ำจืด" ไทยๆ เราก็ได้...ไม่จำเป็นต้องปลาแพงๆ กินเยอะๆ "ต้านโรคภัย" แถม "ไร้พุง" หุ่นดีด้วย !!!

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก "เวปไซด์หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ออนไลน์"

"กิน"อย่างไร? เมื่อจำเป็นต้อง..อดนอน

หนุ่มๆ สาวๆ รู้ดีว่าการอดนอนทำลายสุขภาพและความสดใสมากเพียงใด แต่บางครั้ง โดยเฉพาะช่วงสอบหรือต้องทำงานให้เสร็จตามกำหนด เราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องอดตาหลับขับตานอนกันอยู่บ้าง จริงไหมล่ะครับ

เมื่อรู้ตัวเนิ่นๆ หลายคนเลือกที่จะลดหรือถึงขั้นงดอาหารเย็นไปเลย เพื่อหลีกเลี่ยงอาการง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งนั่นอาจทำให้หมดแรงเอาดื้อๆ วันนี้เราจึงนำเคล็ดลับการกินอาหารที่จะช่วยให้สดใสได้แม้ต้องอดนอนมาฝาก ลองทำตามวิธีการต่อไปนี้ดูครับผม

อาหารมื้อเย็นสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้เราอยู่ดึกได้โดยที่ไม่หมดพลัง สำหรับคนที่อดนอน ควรกินอาหารจำพวกแป้ง เช่น ข้าว และ ขนมปัง ในปริมาณน้อย แต่ควรกินอาหารจำพวกปลา ผัก ผลไม้สด ทดแทนในมื้อนี้เพื่อเพิ่มความสดชื่น อย่างไรก็ตามหลังจากกินอาหารเหล่านี้ไปแล้วอาจรู้สึกหิวเร็ว ระหว่างนี้ให้กิน ผลไม้ หรือ โยเกิร์ต

แค่นี้ก็ช่วยรักษาพลังงานของร่าง กายให้กระฉับกระเฉง และไม่รู้สึกอ่อนเพลียแล้วค่ะ นอกจากกินถูกวิธี การจัดสรรเวลาให้เหมาะสมก็ช่วยได้นะครับ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก..."เวปไซด์ นิตยสารชีวจิต"

โอ๊ยปวดท้องจัง.. เป็นอะไรกันแน่

หลายๆ ท่านคงเคยเจออาการปวดท้อง ที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำเสมอ แต่บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง

อาการปวดท้อง เป็นอาการที่นำผู้ป่วยมาหาแพทย์บ่อยมากที่สุดอาการหนึ่ง สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องนั้นมีหลายสาเหตุด้วยกัน ซึ่งพอจะแบ่งสาเหตุใหญ่ๆ คือ อาการปวดท้องที่มีสาเหตุมาจากอวัยวะภายในช่องท้อง และสาเหตุจากอวัยวะนอกช่องท้อง

สำหรับอาการปวดท้องที่มีสาเหตุมา จากอวัยวะภายในช่องท้อง ได้แก่ โรคกระเพาะอาหาร, โรคในระบบทางเดินน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี, โรคเกี่ยวกับตับ เช่น โรคเนื้องอกที่ตับ, โรคฝีในตับ, โรคเกี่ยวกับตับอ่อน เช่น โรคตับอ่อนอักเสบ, โรคเกี่ยวกับลำไส้ เช่น ลำไส้อักเสบ ซึ่งมักจะมีการขับถ่ายที่ผิดปกติร่วมด้วย, โรคไส้ติ่งอักเสบ, โรคเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ โรคต่างๆ ในช่องท้องนี้ยังมีอีกมากมายซึ่งทำให้เกิดอาการปวดท้องขึ้นได้ นอกจากนี้โรคในระบบทางเดินปัสสาวะ และโรคเฉพาะสตรี ก็อาจทำให้ปวดท้องได้

ส่วนอาการปวดท้องที่มีสาเหตุ มาจากอวัยวะภายนอกช่องท้อง สาเหตุจากอวัยวะภายนอกช่องท้องสามารถทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ โดยที่อาจทำให้เข้าใจผิดว่ามาจากโรคภายในช่องท้อง ที่สำคัญได้แก่ โรคปอดบวมแล้วมีเยื่อหุ้มปอดอักเสบ, โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งพบในผู้ป่วยวัยกลางคนขึ้นไปอาจมีอาการปวด จุกแน่นบริเวณช่องท้องส่วนบน, โรคหลอดอาหารส่วนปลายอักเสบ แม้กระทั่งโรคที่ผิวหนังที่บริเวณหน้าท้องก็อาจจะทำให้มีอาการปวดท้องรุนแรง ได้ เช่น โรคงูสวัด จะมีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณหน้าท้องก่อนจะมีตุ่มใสๆ เกิดขึ้นที่บริเวณหน้าท้องก็ได้

โดยสรุปจะเห็นได้ว่าอาการปวดท้องนั้นเป็นอาการที่มีสาเหตุมาจากโรคต่างๆ ได้มากมาย Health Line สายสุขภาพหวังว่าท่านคงจะพอเข้าใจ สาเหตุของอาการปวดท้องแล้วนะคะ ในกรณีที่มีอาการมากท่านไม่ควรรักษาตัวเอง ท่านควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจมีโรคแทรกซ้อน และเป็นอันตรายได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

เราสามารถแบ่งบริเวณที่ ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ

1.ชายโครงขวา คือตับและถุงน้ำดี อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ

2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่ ถ้าปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ ถ้าปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ หากคลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต แต่หากคลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่

3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้

4. บั้นเอวขวา คือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ ถ้าปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ ถ้าปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต หากปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ และถ้าคลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่

5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ (ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ

6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4)

7. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต ถ้าปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ หรือถ้าปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ และหากคลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ

8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก ถ้าปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ถ้าปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก

9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต ถ้าปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต หากปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ หรือถ้าปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ แต่ถ้าคลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้

แล้วคุณละเจออาการปวดท้องส่วนไหน บ้าง ก็อย่าลืมไปปรึกษาหมอกันนะครับ จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที

ขอขอบคุณข้อมูลจาก..."เวปไซด์กรุงเทพธุรกิจดอทคอม"

นอนดึกตื่นสาย ทำให้ โง่ เตี้ย ขาดสมาธิ

สเตฟานี เจ โครว์ลีย์ แห่งมหาวิทยาลัยบราวน์ รัฐโรดไอแลนด์ สหรัฐอเมริกา นำเสนองานวิจัยที่กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาต่อที่ประชุมประจำปี ของสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับครั้งที่ 21 หรือ Sleep 2007 ที่นครนิวยอร์กว่า

ผลการศึกษาเบื้องต้นที่ได้จากการศึกษากับอาสาสมัครนักเรียนระดับมัธยมศึกษา 6 คน อายุ 15-16 ปี พบว่า การเข้านอนดึกและตื่นสายช่วงวันหยุด ทำให้นาฬิกาในร่างกายถูกปรับให้สายขึ้น ส่งผลให้รู้สึกงัวเงียในช่วงเช้าวันจันทร์ ซึ่งทำให้ภาวการณ์เรียนรู้บกพร่องและขาดสมาธิ

อีกทั้งยังมีผลการวิจัยจากอีกหลาย ประเทศระบุชัดเจนว่า การที่เด็กหรือวัยรุ่นอดนอน นอนน้อย นอนดึก หรือนอนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของร่างกายด้วย อาทิ รูปร่างเตี้ย ไม่แข็งแรง ความสามารถในการเรียนรู้น้อยกว่าคนที่นอนหลับอย่างเพียงพอ

เนื่องจากในระหว่างการหลับสนิท โกรทฮอร์โมนจะหลั่ง ส่งผลให้คนที่เจริญเติบโตยังไม่เต็มที่ร่างกายสูง แข็งแรง ส่วนในคนที่ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แจ่มใสร่าเริง

ซึ่งช่วงเวลาโดยเฉลี่ยที่ควรนอนในแต่ ละวันควรอยู่ที่ 8 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม แต่ละช่วงวัยต้องการการนอนที่แตกต่างกัน เด็กจะต้องการนอนมากกว่าผู้ใหญ่

โดยผู้เชี่ยวชาญโดยทั่วไปแนะนำให้วัยรุ่นนอนไม่ต่ำกว่าคืนละ 9 ชั่วโมง แต่ในความเป็นจริงแล้ววัยรุ่นส่วนใหญ่นอนหลับเพียงคืนละ 7 ชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้นถ้าไม่อยาก โง่เตี้ย ขาดสมาธิ ก็จงอย่านอนดึกตื่นสายจนติดเป็นนิสัยเด็ดขาด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก..."เวปไซด์ นิตยสารเฟิร์ทดอทคอม"

อาหาร เสริมหน้าอก ให้อึ๋มได้ดั่งใจ


เภสัชกรหญิงนันทวดี พิทยาพิบูลย์พงษ์ ผู้จัดการพัฒนาธุรกิจความงามและสุขภาพ บริษัท Venus aesthetic ให้ข้อมูลว่า การที่หน้าอกหย่อนไม่ได้รูปนั้น เกิดจากอิลาสตินคอลลาเจน (เนื้อเยื่อตรงฐานอกซึ่งเป็นส่วนที่ทําให้หน้าอกมีความยืดหยุ่นและคงตัว) ไม่แข็งแรง และสาเหตุที่ไม่แข็งแรงนั้น ก็เพราะการรับประทานอาหารแบบทุโภชนาการ รวมถึงการอดอาหารลดน้ำหนักที่ไม่ถูกต้อง

ส่วนประกอบของร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คือโปรตีนและไขมัน แต่อาหารที่ผู้หญิงนิยมรับประทานกันคือ ผักและผลไม้ ซึ่งเป็นส่วนของพลังงานทั้งสิ้น แต่ในความจริงแล้วร่างกายของเราต้องมีการสร้างซ่อมตลอดเวลา และวัตถุดิบในการสร้างซ่อมก็มาจากอาหารที่เราบริโภคเข้าไปสู่ร่างกาย

ดังนั้น หากเราไม่รับประทานอาหารที่ร่างกายสามารถนําไปสร้างซ่อมได้ ร่างกายก็จะย่อยเนื้อเยื่อออกมาก่อนแล้วนํากลับไปใหม่ ทําให้ไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่ต้องซ่อมแซมได้ รวมทั้งการย่อยแบบนี้จะทําให้เนื้อเยื่อต่างๆ หลวม รวมไปถึงเนื้อเยื่อตรงฐานหน้าอกด้วย และนี่คือคําตอบว่าทําไมหน้าอกของเราจึงหย่อนและไม่กระชับ

คําแนะนําการรับประทานอาหาร เพิ่มอกอึ๋ม "หากต้องการให้หน้าอกของเรากระชับและตั้งขึ้น จะต้องเปลี่ยนวิธีการบริโภคอาหารเสียใหม่ คือรับประทานให้ครบถ้วน โดยเน้นโปรตีนให้เพียงพอ เพราะการรับประทานโปรตีนอย่างเพียงพอ จะทําให้ร่างกายมีวัตถุดิบในการสร้างซ่อมตัวเอง"

วิธีรับประทานโปรตีนที่ถูกต้อง ให้ใช้ฝ่ามือของตัวเองชี้วัด เริ่มตั้งแต่มื้อเช้า ควรรับประทานโปรตีนประมาณครึ่งฝ่ามือหรือ ไข่ 1 ลูก, มื้อกลางวัน รับประทานโปรตีน 3/4 ของฝ่ามือ และมื้อตอนเย็น รับประทานโปรตีนให้เท่ากับ 1 ฝ่ามือ เหตุที่ต้องรับประทานโปรตีนให้มากในช่วงเย็นนั้น เพราะ 70% ของร่างกายจะถูกซ่อมแซมขณะที่เรานอนหลับ

การรับประทานอาหารและออกกําลังกาย บริหารหน้าอก ใส่ชุดชั้นในอย่างถูกต้องก็คงจะเพียงพอแล้วที่จะช่วยให้หน้าอกของคุณกระชับ ได้รูปสวยดังใจ แบบไม่ต้องเจ็บตัว

ข้อมูลจาก : www.sanook.com

อารมณ์ขัน ช่วยคุณได้ในการทำงาน


เสียงหัวเราะและรอยยิ้มไม่เพียงแต่ ทำให้คุณอารมณ์ดี มันยังทำให้การสื่อสารในที่ทำงานราบรื่นขึ้น และเพิ่มผลงานอีกด้วย แค่เพียงให้แน่ใจว่าคุณใช้อารมณ์ขันในแบบที่เหมาะกับบรรยากาศการทำงานก็พอ

จากการสำรวจกลุ่มผู้บริหารของ Robert Half International พบว่า 91 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารเห็นว่า อารมณ์ขันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความก้าวหน้าทางอาชีพการงาน มันช่วยคุณสร้างความปรองดองในกลุ่มคนที่อยู่รอบตัวคุณ ทำให้มีการสื่อสารกันอย่างเปิดเผย สร้างบรรยากาศการทำงานในแง่บวกและช่วยผ่อนคลายความเครียด แม้แต่ในวันที่เคร่งเครียดที่สุดก็ตาม แต่ใช่ว่าอารมณ์ขันทุกอย่างจะได้รับการยอมรับในที่ทำงาน อารมณ์ขันควรเหมาะสมกับการทำงาน ไม่เป็นตลกร้ายหรือทำให้ใครสักคนต้องอับอาย ต่อไปนี้คือเคล็ดลับบางอย่างที่จะทำให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ทำเรื่อง ตลกแบบโง่ๆ

อย่าใช้ตลกเสียดสี บ่อยครั้งคนเราชอบใช้อารมณ์ขัน เพื่อเป็นวิธีเหยียดหยามคนอื่นแบบอ้อมๆ ตัวอย่าง เช่น "ไม่เชื่อเลยว่าคุณมาตรงเวลาได้ มีโอกาสพิเศษอะไรเหรอ" การเสียดสีไม่ใช่ไอเดียที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นเก็บคำพูดประเภทนี้เอาไว้กับตัวเองคนเดียวก็พอ

ใช้ตัวเองทำตลก เอาเลยพูดตลกถึงจุดอ่อนของตัวการทำเช่นนั้นทำให้คนอื่นสบายใจเวลาอยู่กับคุณ และคุณก็ไม่เสี่ยงกับการทำให้ใครเคือง ด้วยการใช้เขาหรือเธอมาเป็นประเด็นในการพูดตลก ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสะดุดล้มในระหว่างการนำเสนองาน ลองพูดว่า "ฉันหวังว่าคุณคงจะชอบไอเดียฉันจนหัวปักหัวป่าเหมือนฉันนะ" มันจะช่วยทำให้สถานการณ์น่าอืดอัดผ่อนคลายลง แค่ให้แน่ใจว่าคำพูดของคุณเป็นไปแบบสบายๆ เพื่อที่เพื่อนร่วมงานจะได้ไม่คิดว่าความพยายามจะทำตลกของคุณเป็นการร้องขอ ความช่วยเหลือ

หัวเราะไปกับคนอื่น คุณสามารถถูกมองว่าเป็นคนมีอารมณ์ขันได้ โดยไม่ต้องแม้แต่จะเล่าเรื่องตลก แต่ปรับตัวให้เข้ากับอารมณ์ขันของคนที่อยู่รอบตัวคุณ และสนุกไปกับเขาด้วย

เก็บเรื่องขำขัน คุณสร้างไฟล์เก็บโครงการหลายอย่างที่คุณต้องทำ แล้วทำไมไม่สร้างไฟล์สำหรับเก็บเรื่องตลกดูบ้างล่ะ ลองเก็บการ์ตูนสนุกๆ ที่เหมาะกับสถานที่ทำงาน บทความตลกๆ ในหนังสือ หรืออะไรก็ตามทำให้คุณหัวเราะได้เอาไว้ และเมื่อเพื่อนร่วมงานของคุณรู้สึกเหนื่อยและเครียดจากการทำงาน คุณก็สามารถทำให้เขาหรือเธอประหลาดใจได้ด้วยเรื่องต่างๆ ที่คุณเก็บเอาไว้ แค่อย่าเก็บเรื่องที่อาจทำให้คนอื่นขุ่นเคืองใจ หรือไม่มีรสนิยมเอาไว้ก็พอ

ตั้งคณะกรรมการอารมณ์ขัน เชื้อเชิญเพื่อนร่วมงานมาร่วมกันเพิ่มความสนุกสนานให้แก่ที่ทำงาน เช่น จัดปาร์ตี้สนุกๆ ในตอนบ่าย แต่ต้องปรึกษาหัวหน้าแผนกหรือฝ่ายบริหาร เพื่อให้คุณได้รับอนุญาตก่อนลงมือทำ

ถ่ายรูปสนุกๆ หากล้องเอาไว้ใกล้มือ เพื่อเก็บภาพหลุดๆ ของคุณและเพื่อนร่วมงาน แล้วก็เอาไปติดบอร์ดของที่ทำงานภาพแอบถ่ายของแต่ละคนแบบไม่ตั้งใจ จะทำให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้นได้

ข้อมูลดีๆ จาก..."เวปไซด์ นิตยสารลิซ่าดอทคอม"

ยาชื่อสามัญ... นามนั้น สำคัญฉะนี้

ยาทุกชนิดมีชื่อของมันครับผม โดยทั่วไปเรามักเรียกชื่อยาตามสรรพคุณที่รักษาอาการป่วยไข้ เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้หวัด แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่บางคนติดที่จะเรียกชื่อทางการค้าหรือยี่ห้อของยา นั้นมากกว่า โดยไม่รู้ว่ายานั้นมีชื่อสามัญว่าอย่างไร

ชื่อสามัญก็คือ ชื่อจริง ของตัวยาที่เรียกเพื่อสื่อสารให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันทั่วโลก ส่วนใหญ่เรียกตามชื่อสารเคมีที่นำมาทำยา เลยเรียกยาก ไม่คล่องปาก บางทีเป็นคำยาวๆ ไม่สื่อความหมายอะไร แต่สำหรับคนทั่วไปควรรู้จักไว้บ้าง อย่างเช่น ยาแก้ปวดมีชื่อสามัญว่า "พาราเซตามอล" ยาแก้ระบบข้อและกล้ามเนื้ออักเสบ ชื่อสามัญ "ไอบูโพรเฟน" ยารักษาโรคเชื้อรา คือ "คีโตโคนาโซล" เป็นต้น

การที่เราต้องเรียกชื่อยาให้ถูกต้องตรงตามชื่อของเขาเอง โดยไม่เรียกตามอาการนั้นมีข้อดีมากมาย ในเรื่องนี้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้จัดทำหนังสือเล่มเล็กๆ ให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องยาชื่อสามัญเอาไว้ว่า

ยาชื่อสามัญจะทำให้เราไม่ยึดติดกับยี่ห้อ ป้องกันไม่ให้ใช้ยาซ้ำซ้อน ป้องกันการรับยาเกินขนาด ป้องกันการแพ้ยาซ้ำซาก ลดการสูญเสียเงินจากความไม่รู้ว่าเป็นยาตัวเดียวกัน


ยาชื่อสามัญช่วยให้ประหยัดเลือกยาได้ เหมาะกับกำลังทรัพย์ที่มี เพราะยาชนิดเดียวกันแต่ต่างยี่ห้ออาจใช้งบโฆษณาทำตลาดต่างกัน ส่งผลถึงราคาถูกแพงไม่เหมือนกัน

การเรียกยาด้วยชื่อสามัญ ยังช่วยชาติและส่งเสริมอุตสาหกรรมยาในประเทศ ทั้งยังเปิดโลกทัศน์ทำให้รู้จัก "ยา" ได้ดียิ่งขึ้น

ข้อมูลจาก..."เวปไซด์ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐดอทคอม"

วิธีง่ายๆ ช่วยการกระตุ้นความจำ

ดูเหมือนว่าข้อมูลใหม่จะไหลมาเทมาให้เราต้องทำความรู้จักกันอยู่ทุกเมื่อ เชื่อวัน จนหลายคนกำลังประสบปัญหาว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชื่อเสียงเรียงนาม วันที่ หรือวิธีทำงาน เหล่านั้น จะจดจำลงในสมองได้หมดได้อย่างไร

"สมอง" ที่อาจจะไม่ค่อยมีที่ว่างพอ-เพียงให้อัดข้อมูลใหม่ลงไปได้สักเท่าไรนัก

โชคร้ายตรงที่เราไม่มี "เอ็กซ์เทอร์-นัลฮาร์ดไดรฟ์" หรือหน่วยจัดเก็บข้อมูลภายนอกอย่างที่คอมพิวเตอร์มี อย่างไร ก็ตาม จากการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าคนเราสามารถจะกระตุ้นหรือปรับปรุงความทรง จำให้ดีขึ้นได้

วิธีช่วยจำ อย่างหนึ่งก็คือ ถ้าหากไม่อยากจะลืมสิ่งที่เรียนรู้ไปในวันนี้ ก็จงเข้านอนเสีย การได้นอนสักพัก ถ้าจะให้ดีอาจจะในราว 90 นาที จะเป็นการช่วยบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างวันขึ้นได้ ทีนี้เมื่อได้เข้านอนตอนกลางคืน สมองก็จะสร้างความทรงจำของเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้น

แต่การใช้สมองอย่างหนักกับความทรงจำระยะยาว อาจทำให้ต้องผจญกับความทรงจำที่มีต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้

จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดหลายชิ้น พบว่าความทรงจำของแต่ละคนนั้น สามารถจะปรับปรุงหรือกระตุ้นให้ดีขึ้นได้ โดยอาศัยปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง ได้แก่ การฟังดนตรี การปรับปรุงนิสัย และการคิดมองโลกอย่างเด็กๆ ก็มีส่วนช่วยได้ไม่น้อย

ดูแล้วก็ไม่หมดหวังเสียทีเดียวที่เราจะมากระตุ้นความทรงจำให้ปิ๊งปั๊ง มีพลังขึ้นมาใหม่ ได้อีกหน.

ข้อมูลจาก... "เวปไซด์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ"

ลดเสี่ยงห่างไกล.."มะเร็ง" กับการดูแลตัวเองขั้นพื้นฐาน

มะเร็งเป็นโรคที่เกิดกับใครก็ได้ ไม่ว่าเด็กหรือแก่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย จะร่ำรวยหรือยากจน มะเร็งยังคงเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิต ของผู้คนทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา

เมื่อเร็วๆ นี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้จัดงานเปิดตัว บัตร Healthy Living Club และได้มีการให้ความรู้ในเรื่องสุขภาพหลายอย่างที่น่าสนใจ แต่ที่มีประโยชน์ที่สุด เห็นจะเป็นเรื่ององค์ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุของโรคมะเร็งได้รับการพัฒนาไป มากพอ จนเราเรียนรู้ที่จะป้องกันตัวเองจากโรคมะเร็งได้ และนี่คือคำแนะนำ 10 ประการ ที่คุณสามารถลงมือปฏิบัติได้ เพื่อชีวิตที่ห่างไกลจากโรคมะเร็ง

1. ลดหรือเลิกบุหรี่
ในแต่ละปีมะเร็งปอดคร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดในบรรดา มะเร็งชนิดต่างๆ ทั้งหมด ดังนั้น หากคุณติดบุหรี่ การเลิกสูบเสียแต่วันนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมครั้งสำคัญที่สุด ที่จะลดความเสี่ยงจากมะเร็งปอดและโรคอื่นๆ ที่มีสาเหตุมาจากบุหรี่ เลิกบุหรี่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คุณสามารถขอคำปรึกษาถึงวิธีการเลิกแบบต่างๆ จากแพทย์ได้ ทั้งการรักษาด้วยยา หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะช่วยทำให้คุณเลิกบุหรี่ได้

2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
หลายคนคงยังจำได้ดีเวลาถูกพ่อแม่บังคับให้กินผัก และก็คงไม่ได้คิดว่าพวกท่านจะทราบอะไรดีๆ ที่พวกเราไม่รู้ แต่การถูกบังคับให้กินผักนี้กลับเป็นประโยชน์มากต่อตัวเราเอง เพราะผักจำพวก บร็อกโคลี กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี และกะหล่ำดาว ที่คนส่วนน้อยจะชอบรับประทานนั้น กลับอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นในการต่อสู้กับมะเร็ง รวมทั้งเป็นส่วนประกอบสำคัญในตำรับอาหารต้านมะเร็ง นอกจากนี้ ผลเบอร์รี่ ถั่วแดง และชาเขียว ก็อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับไวน์แดง ช็อกโกแลต และถั่วพีแกน ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยร่างกายต่อต้านปฏิกิริยาเคมีที่ส่งผล ร้ายต่อเซลล์ปกติ ซึ่งในท้ายที่สุดอาจกลายเป็นเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรเลือกรับประทานแต่พอประมาณ

3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายนานครั้งละ 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด อาทิ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ การออกกำลังกายในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงแบบ นักกีฬา แต่การเล่นโยคะ เดิน หรือเต้นแอโรบิกก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งได้ดีที่ สุดเช่นกัน นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยไม่ให้คุณเป็นโรคอ้วน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด

4. ตรวจสุขภาพประจำปี
มีหลักฐานยืนยันว่า การตรวจสุขภาพประจำปีและการตรวจพบมะเร็งแต่เนิ่นๆ ทำให้โอกาสที่จะรักษาจนหายก็มีมากขึ้นเท่านั้น และยังช่วยให้การรักษาฟื้นฟูทำได้เร็วขึ้นโดยมีผลข้างเคียงลดลง ดังนั้น ควรตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอและขอคำแนะนำจากแพทย์เรื่องการตรวจคัดกรอง มะเร็งที่เหมาะกับวัยของคุณ เช่น ผู้หญิงในวัย 40 ปีขึ้นไป ควรทำเมมโมแกรมเพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม หรือชายในวัย 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก โดยที่มะเร็งบางชนิดอาจไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก

5. ดื่มแต่พอดี
การดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปอาจเป็นผลร้ายต่อตับ มากเป็นพิเศษ แม้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะ (ไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน)

6. สืบสาวเรื่องราวครอบครัว
มะเร็งหลายชนิดมักเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ หรือพูดง่ายๆ มะเร็งสามารถสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ ดังนั้น การได้ทราบว่าคนในครอบครัวของคุณมีประวัติเจ็บป่วยด้วยมะเร็งชนิดใด ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันมะเร็ง โดยการพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และควรแจ้งประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวให้แพทย์ทราบ เพื่อแพทย์จะสามารถให้คำแนะนำและดูแลคุณได้อย่างเหมาะสม

7. หลีกเลี่ยงแสงแดด
รังสีอัลตราไวโอเลต (ยูวี) ในแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนัง ซึ่งส่วนมากแล้วสามารถป้องกันได้ง่ายๆ 2 วิธี คือ ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง และพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่รังสียูวีมีความเข้มสูงสุด

8. มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่เพียงช่วยป้องกันโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยและผู้หญิงทั่วโลก เชื่อกันว่าประมาณร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูก มีสาเหตุมาจาก Human Papillomavirus (HPV) ที่สำคัญเชื้อ HPV นี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ทวารหนักและอวัยวะเพศอีกด้วย แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HPV ได้ในระดับหนึ่ง โดยต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์

9. นอนหลับให้สนิท
จากการศึกษาพบว่า การนอนหลับให้สนิทจะมีผลไม่ทำให้เป็นมะเร็ง เนื่องจากมีผลการศึกษาพบว่าสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สมองผลิตในระหว่างการนอนหลับมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับ มะเร็ง แต่เมลาโทนินจะช่วยป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อการนอนนั้น เป็นการนอนหลับอย่างสนิท ต่อเนื่องในห้องมืดเท่านั้น

10. หลีกเลี่ยงการเผชิญกับสารเคมีอันตราย
สารจำพวกยาฆ่าแมลง น้ำยาทำความสะอาด น้ำมันเบนซิน นั้น เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายที่เกี่ยวโยงกับการเกิดมะเร็ง แม้การควบคุมสิ่งแวดล้อมรอบตัวจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การจำกัดหรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเหล่านี้ในบ้าน หรือที่ทำงาน ย่อมเป็นการลดโอกาสในการสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารกันไฟ หรือ PBDE ซึ่งมักจะใช้กับผ้า เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ด้วยเช่นกัน

ข้อมูลจาก.. "เวปไซด์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์"

วิธีดูแลตัวเอง เมื่อต้องเดินตากฝน

มีเคล็ดลับการดูแลตัวเองง่ายๆ มาฝากกัน โดยเฉพาะในช่วงที่ฝนตกบ่อยๆ แบบนี้ ส่งผลให้ใครหลายคนเปียกฝนไปตามๆ กัน

ขณะที่เพิ่งออกจากที่ทำงานได้ไม่นาน ฝนตกลงมาพอดี และบังเอิญคุณหาที่หลบฝนไม่ทัน หลายคนบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะเป็นพระเอกมิวสิกวิดีโอสักหน่อย แต่ทำอย่างไรได้ ฝนตกลงมาพอดี ถ้ารอให้ฝนหยุดก็อาจจะกลับบ้านช้า ก็เลยมีบางครั้งที่ทำให้เราเผลอเดินตากฝนโดยไม่ตั้งใจ ผลที่เกิดขึ้นนอกจากเสื้อผ้าจะเปียกชื้น และร่างกายของคุณหนาวเหน็บแล้ว ยังเป็นการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ อันเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคผิวหนังอีกด้วย

* วิธีการดูแลรักษากรณีเดินลุยฝน *

1. เริ่มต้นจากการทำเสื้อผ้าให้แห้งสนิท โดยเร็ว
2. เมื่อกลับถึงบ้านให้คุณรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที เหตุผลก็คือการใส่เสื้อผ้าเปียกๆ ก่อให้เกิดการหมักหมม และอาจกลายเป็นแหล่งเชื้อราโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ และอาจทำให้คุณไม่สบายเป็นหวัด รวมไปถึงเป็นปอดบวมได้อีกด้วย
3. แน่นอนที่ถุงเท้ากับรองเท้าย่อมเปียกฝน เพราะฉะนั้นให้คุณถอดออกทันที และควรเร่งทำให้แห้งแต่โดยเร็ว
4. เราควรเรียนรู้ว่าการปล่อยให้เท้าเปียกชื้นนานๆ ส่งผลให้เท้าซีด และอาจลอกเป็นขุยได้
5. คุณต้องเข้าใจว่าหากปล่อยให้เท้าชื้นนานๆ อาจจะทำให้ติดเชื้อราได้ง่าย ทั้งนี้ โรคเชื้อราที่พบบ่อยคือ ฮ่องกงฟุต โดยเฉพาะที่บริเวณซอกนิ้วเท้า
6. เมื่อกลับมาถึงบ้าน และเท้ายังเปียกชื้น อันเป็นผลมาจากการย่ำน้ำในซอยของหมู่บ้าน ให้คุณเร่งทำความสะอาดที่เท้าด้วยการฟอกสบู่ จากนั้นก็ล้างด้วยน้ำสะอาด ต่อมาก็เช็ดเท้าให้แห้ง
7. การใช้แป้งฝุ่นทาที่เท้าหลังทำความสะอาดจะช่วยให้เท้าสบายมากขึ้น

* วิธีการดูแลเส้นผม *
1. เมื่อกลับมาถึงบ้านให้คุณเร่งทำความสะอาดเส้นผม ด้วยการสระผมด้วยแชมพูสระผมหรือผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมไปเลย
2. จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณอาจจะต้องใช้แชมพูสระผมที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา นั่นเป็นเพราะว่าการที่คุณเดินตากฝนนั้น อาจจะมีเชื้อโรคปะปนมา และการที่คุณไม่ยอมสระผมในค่ำคืนนั้นเลยเส้นผมของคุณอาจเกิดอาการได้รับ เชื้อราและรังแคได้ เพราะฉะนั้นให้สระผมหลังจากที่คุณเพิ่งเดินตากฝน
3. ที่สำคัญก็คือคุณไม่ควรนอน ในขณะที่เส้นผมยังเปียกน้ำฝนอยู่

** หลักการง่ายๆ ที่กล่าวมานี้จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ไม่ต้องวิตกกังวลกับฝนที่กระหน่ำตกลงมานัก ทว่าวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ก็คือ การหลีกเลี่ยง ไม่เดินตากฝนนั่นเอง **

ข้อมูลจาก "เวปไซด์teenpath.com"

เคล็ดลับในการใช้น้ำหอม

การเลือกใช้น้ำหอมอย่างเหมาะสม เราควรเลือกกลิ่นหอมที่เข้ากับบุคลิกของตัวเองนับว่าดีที่สุด น้ำหอมแบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยระดับความเข้มข้นของกลิ่นหอมดังนี้

"โคโลญจน์" หรือ Eau de Cologne เป็นน้ำหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมในปริมาณ 3-5%
"ทอยเล็ตต์" หรือ Eau de Toilette เป็นน้ำหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมในปริมาณ 4-8%
"เพอร์ฟูม" หรือ Eau de Parfum เป็นน้ำหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมในปริมาณ 15-18% ซึ่งจะมีกลิ่นติดทนนานที่สุด

*เคล็ดลับในการแต้มน้ำหอม*
1. ให้ป้ายหรือฉีดน้ำหอมในบริเวณที่ เป็นจุดชีพจร โดยมากจะเป็นบริเวณข้อมือหรือลำคอ และบางครั้งบริเวณข้อพับที่แขนหรือขาพับก็เป็นที่นิยม ในขณะที่การแตะน้ำหอมบริเวณหลังใบหูนั้นความหอมของน้ำหอมจะไม่ติดอยู่ทนนาน เนื่องจากแอลกอฮอล์ระเหยได้รวดเร็วนั่นเอง

2. การถูข้อมือที่แต้มน้ำหอม 2 ข้างเข้าด้วยกัน ไม่ได้ช่วยให้ความหอมนั้นทั่วถึง แต่ที่จริงแล้วจะทำให้น้ำหอมมีกลิ่นหอมอ่อนลง

3. การฉีดสเปรย์น้ำหอมในอากาศแล้วใช้วิธีเดินผ่านนั้น จะช่วยให้กลิ่นหอมกระจายติดตัวเราได้ทั่วดี

4. พยายามอย่าใช้โลชั่นที่มีกลิ่นหอมก่อนหน้าที่ จะใช้น้ำหอมเนื่องจากกลิ่นจะตีกัน

5. ใช้น้ำหอมมากหน่อยหากคุณเป็นคนผิวแห้ง เนื่องจากผิวมันมีน้ำมันช่วยคงกลิ่นให้ติดอยู่ยาวนาน

** ในขณะเดียวกันหากใส่น้ำหอมแล้วต้องอยู่ในที่อากาศเย็น ให้เลือกน้ำหอมที่มีกลิ่นแรงกว่าปกติ เนื่องจากความเย็นหรืออุณหภูมิต่ำจะลดกลิ่นหอมของน้ำหอมให้ลดน้อยลงกว่าที่ เป็น การฉีดน้ำหอมทันทีหลังจากที่อาบน้ำเสร็จใหม่ๆ จะช่วยทำให้กลิ่นหอมติดทนนานกว่าปกติ **

* ข้อควรระวังในการใช้น้ำหอม *
ต้องระวังเครื่องประดับทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ เข็มกลัด เข็มขัด เป็นต้น เนื่องจากแอลกอฮอล์และเคมีบางอย่างที่เป็นองค์ประกอบของน้ำหอมจะมีผลต่อ วัตถุดิบบางชนิด

ที่จริงแล้วลักษณะในการใส่น้ำหอมยังมีผลต่อวัตถุดิบบางชนิด อาทิ น้ำมันที่มีผลกับผ้าซาติน หรือแม้แต่ผ้าฝ้ายแบบฟอก การฉีดน้ำหอมใกล้กับเสื้อผ้ามากเกินไป ทำให้แอลกอฮอล์ปริมาณเข้มข้น ติดอยู่กับเสื้อผ้ามาก

ดังนั้น การฉีดน้ำหอมควรทำห่างจากตัวอย่างน้อย 30 เซนติเมตร เพื่อไม่ให้น้ำหอมทิ้งจุดด่างหรือรอยเปียกของน้ำมันเอาไว้บนเสื้อผ้า ทางที่ดีที่สุดอย่าฉีดโดยตรงลงบนเสื้อผ้าจะดีกว่า ส่วนเครื่องประดับที่มักจะเกิดปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ที่อยู่ในน้ำหอมนั้น มักจะเป็นโลหะผสมพวกโรเดีย

ไม่เพียงเท่านั้นเครื่องเพชรพลอย อัญมณีหรือแม้แต่ไข่มุกก็ตามนั้นมีส่วนหมองคล้ำจากการได้รับละอองสเปรย์ที่ มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อีกด้วย

ข้อมูลจาก... "www.teenpath.net"

สุขภาพดีด้วยเรื่อง..."กล้วยๆ

หันมากินกล้วยกันเถอะเรา...เพราะเมื่อเปรียบเทียบ กับแอปเปิ้ล ผลไม้ที่วงการโภชนาการยกย่องให้เป็นสุดยอดอาหารทรงคุณประโยชน์แล้ว กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ลถึง 4 เท่า มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ มากกว่า 2 เท่า และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต

นอกจากนี้ กล้วยยังมีเส้นใยและกากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกล้วยสดหรือตากแห้ง ก็ล้วนแต่อุดมไปด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุกโตส และกลูโคส น้ำตาลเหล่านี้จะหมุนเวียนในกระแสโลหิต ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

จากงานวิจัยพบว่า การรับประทานกล้วยเพียง 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอต่อการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นาน ถึง 90 นาที นักกีฬาจึงมักจะรับประทานกล้วยเป็นอาหารเพิ่มพลังงานก่อนหรือระหว่างการแข่ง ขัน

กล้วยยังได้ชื่อว่าเป็นอาหารบำรุง สมองอีกด้วย มีงานวิจัยที่ให้นักเรียน 200 คนรับประทานกล้วยในมื้อเช้า ตอนพัก และมื้อกลางวันของทุกวัน เพื่อดูว่ากล้วยจะช่วยส่งเสริมกำลังสมองของพวกเขาได้หรือไม่ ผลปรากฏว่านักเรียนได้คะแนนดีจากการสอบตลอดปี การวิจัยแสดงให้เห็นว่า โพแทสเซียมในกล้วยที่มีอยู่ในปริมาณสูง ทำให้นักเรียนตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น

สำหรับคนที่ระวังเรื่องน้ำตาล กล้วยน้ำว้าคือ กล้วยที่ดีที่สุด เพราะมีน้ำตาลน้อย ถัดมาคือกล้วยไข่ และกล้วยหอม กล้วยทั้งสามชนิดล้วนเป็นผลไม้ที่หาง่ายในบ้านเรา ราคาก็ไม่แพงจนเกินไป อยากสุขภาพดีแบบกล้วยๆ จงหันมากินกล้วย ณ บัดนี้

ข้อมูลจาก ..."เวปไซด์นิตยสารเฟิร์สดอทคอม"

1 นาทีเพื่อการลดน้ำหนัก

สิ่งเดียวที่คุณต้องการก็คือเวลาหนึ่งนาที เพื่อเริ่มการกำจัดน้ำหนักส่วนเกิน และต่อไปนี้คือกลยุทธ์แสนง่ายดาย ในการตัดลดแคลอรี่และเผาผลาญไขมันอย่างได้ผล ซึ่งใช้เวลาเพียง 60 วินาที หรือน้อยกว่านั้น

1. เจือจางน้ำผลไม้ ผสมน้ำผลไม้ที่คุณโปรดปราน (ครึ่งหนึ่งของปริมาณที่คุณเคยดื่ม) กับน้ำเปล่าหรือน้ำแร่แบบมีฟอง คุณสามารถตัดลดแคลอรี่ลงไปได้อย่างน้อย 85 แคลอรี่ ต่อแก้ว ซึ่งหมายถึง 2 กิโลในหนึ่งปี

2. เคี้ยวหมากฝรั่ง งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ค้นพบว่าการเคี้ยวหมากฝรั่งไร้น้ำตาลตลอดทั้งวันเพิ่มอัตราการผลาญได้ราว 20 % ที่สามารถช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าปีละ 10 ปอนด์

3. จิบชาเขียวก่อนออกไปเดิน คาเฟอีนช่วยปลดปล่อยกรดไขมันของคุณ จึงเผาผลาญไขมันได้ง่ายกว่า และโพลีฟีนอล (ที่เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์) ในชาเขียวก็ดูจะทำงานร่วมกับคาเฟอีนในการเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่ (ถ้าคุณความดันโลหิตสูง อย่าใช้เคล็ดลับนี้)

4. หลอกต่อมรับรส การจิบยาแก้ไอรสเมนธอลหรือยูคาลิปตัสจะช่วยระงับอาการอยากอาหารได้อย่าง ชะงัดในทันที

5. เพิ่มรสชาติเผ็ดร้อน การเติมพริกลงในอาหารจะทำให้คุณทานอาหารช้าลง และพริกยังช่วยเพิ่มการผลาญพลังงานอีกด้วย

6. อย่าอยู่เฉย การขยับแข้งขยับขาหรืออยู่ไม่สุขตลอดเวลาจะช่วยคุณเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้น ซึ่งอาจมากถึงวันละ 700 แคลอรี่เลยล่ะ

7. เช่าหนังผีมาดู คุณมีความอยากอาหารน้อยลงเวลาที่กลัว แต่จะกินมากขึ้นถ้าโกรธหรือมีความสุข

8. มองตัวเอง งานวิจัยบอกว่า การมองตัวเองในขณะกินอาหาร อาจทำให้คุณกินน้อยลงได้ 22-32 เปอร์เซ็นต์

9. วิดพื้น ก่อนที่คุณจะเปิดถ้วยไอศกรีม วางมันลงก่อนแล้วก็ทำท่าวิดพื้นซัก 10 ครั้ง การทำกิจกรรมทางกายบางอย่างจะทำให้คุณสำนึกถึงเป้าหมายของคุณขึ้นมาได้

10. ดมกลิ่น เวลาที่อยากกินขนมเค้กหรือคุกกี้หอมกรุ่นพวกนั้นเหลือเกิน ลองทำแบบนี้ดู สูดกลิ่นมันสัก 30 วินาที ก่อนกิน มันจะเป็นการตอบสนองต่อความอยากที่จะช่วยให้คุณหยุดกินได้แค่คุกกี้ชิ้น เดียว

11. กินปลา ปลาที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 เช่น ทูน่า แม็กครีล และแซลมอน อาจช่วยคุณลดน้ำหนักได้ด้วยการเผาผลาญไขมันให้ดีขึ้น คนที่น้ำหนักเกิน ซึ่งกินอาหารแคลอรี่ต่ำที่มีปลาด้วยทุกวัน ลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ได้กินปลาเลยราว 20 %

ข้อมูลจาก: "เวปไซด์นิตยสารลิซ่าดอทคอม"

4 อาหาร ที่ทำให้หน้าท้องแบนราบ

"แคลอรี่"..ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะทำให้หน้าท้องเพิ่มหรือลด แต่อาหารบางอย่างดูจะมีผลต่อไขมันกลางลำตัวของเรามากกว่า

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เชี่ยวชาญจากการศึกษาแบบต่อเนื่องของ Framingham Nutrition รายงานว่า ผู้หญิงที่กินน้อยลงไปเกือบ 400 แคลอรี่ ต่อวัน แต่เลือกอาหารที่มีสารอาหารน้อย มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นสองเท่าครึ่งในการมีหน้าท้องใหญ่ขึ้น เมื่อเทียบกับคนที่กินมากกว่าแต่กินอาหารที่ดีกว่า คุณจึงไม่จำเป็นต้องอดอาหาร เพียงแต่ต้องรู้จักเลือกอาหารให้มากขึ้น เพื่อปราบหน้าท้องให้อยู่ในที่ในทาง นั่นก็คือ 4 อาหาร ต่อไปนี้

1. ผักและผลไม้ ผู้หญิงลดขนาดเอวได้ด้วยการแทนที่อาหารที่เป็นแป้งขัดขาวและน้ำตาลด้วย คาร์โบไฮเดรตจากผักและผลไม้โดยเฉพาะที่มีสีส้ม นี่เป็นการรีวิวจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน นอกเหนือจากเส้นใยอาหารที่ทำให้คุณรู้สึกอิ่มยาวนานกว่า นักวิจัยยังคาดว่าแอนตี้ออกซิแดนท์ อย่างเช่น วิตามินซีและเบต้าแคโรทีนคือสิ่งที่ช่วยกำจัดไขมันหน้าท้องออกไปได้

2. โปรตีน การกินโปรตีนมากขึ้นทำให้คุณอิ่มและเพิ่มพลังงานซึ่งนำไปสู่การลดน้ำหนักโดย รวม และสำหรับคนที่อายุมากกว่า 40 จะช่วยลดไขมันหน้าท้องได้เป็นพิเศษ นี่เป็นผลการค้นพบของวิทยาลัยสกิดมอร์และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน แต่งานวิจัยชี้ว่าการกินโปรตีนในปริมาณสูงๆ อาจทำให้ไตทำงานหนัก เพราะอาจทำให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมได้ ควรตั้งเป้ารับแคลอรี 25 % จากโปรตีน (ถ้าคุณกินวันละ 2,000 แคลอรี่ นั่นก็คือ 500 แคลอรี่ จากโปรตีน) และเลือกโปรตีนแบบไร้ไขมัน อย่างเช่น โยเกิร์ตไขมันต่ำ นมไร้ไขมัน ปลาและสัตว์ปีกไร้หนัง ถั่วเป็นแหล่งที่ดีอีกอย่างหนึ่งแต่อาจมีแคลอรี่ค่อนข้างสูง

3. เซเลเนียม นี่เป็นแร่ธาตุที่ช่วยต่อสู้มะเร็ง และเชื่อมโยงกับไขมันหน้าท้อง จากการสำรวจคนอเมริกันมากกว่า 8,000 คน คนที่มีระดับเซเลเนียม และแอนตี้ออกซิแดนท์อื่นๆ ในเลือดน้อยกว่า จะมีรอบเอวที่ใหญ่กว่า เซเลเนียมพบในอาหารหลายชนิด แต่มันอาจยากที่จะรู้ว่าคุณได้รับปริมาณครบตามที่แนะนำหรือเปล่า (55 ไมโครกรัม) เพื่อให้ได้ปริมาณตามต้องการ ลองกินวิตามินเสริมหรือกินอาหารให้หลากหลาย

4. ไขมันที่ดี การวิจัยชิ้นหนึ่งของสเปนชี้ให้เห็นว่า มันง่ายกว่าที่จะรักษาความผอมเพรียวด้วยการกินไขมันแบบไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (เช่น น้ำมันมะกอก) และโอเมก้า-3 (ส่วนใหญ่พบในปลา แต่ก็มีในเมล็ดต้นแฟลกซ์ น้ำมันวอลนัตและเต้าหู้) ในขณะที่ไขมันเมก้า-6 (มีมากในซีเรียลน้ำมันข้าวโพด และไข่ ) เป็นเหตุให้ไขมันหน้าท้องเพิ่มพูนแต่ไขมันที่ควรกำจัดโดยสิ้นเชิงก็คือ ไขมันทรานส์ที่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร ในการศึกษาของมหาวิทยาลัยเวกฟอเรสต์ ลิงที่กินอาหารแบบที่คนอเมริกาทั่วไปกินเป็นเวลา 6 ปี มีน้ำหนักมากขึ้นเทียบเท่ากับน้ำหนักมนุษย์ 10 ปอนด์ ถ้าไขมันที่พวกมันกินคือ ไขมันทรานส์อย่างเดียว เทียบกับพวกที่กินไขมันที่เพิ่มขึ้น 30% นั้นจะเพิ่มขึ้นในส่วนของหน้าท้องด้วย

ข้อมูลจาก: "เวปไซด์นิตยสารลิซ่าดอทคอม"

7 สิ่งที่ไม่ควรดื่มกิน ขณะท้องว่าง

1. เหล้า กระเทียม เพราะ 2 สิ่งนี้จะยิ่งกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

3. ชาแก่ ทำให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง

4. ลูกพลับ เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

5. กล้วย เพราะจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียม เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก

6. ผัก หากรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด

7. นมและนมถั่วเหลือง แม้จะอุดมด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการย่อยและดูดซึมก็ต่อเมื่อในกระเพาะอาหารมี สารประเภทแป้งอยู่

ข้อมูลจาก : "เว็บไซด์นิตยสารเฟิร์สดอทคอม"

อันตราย.."ก้นร้อน"..ทำให้เป็น "หมัน" นั่งรถยนต์นานก็เกิดได้

วารสารเรื่องวิทยาศาสตร์ "นิว ไซเเอนติสท์" อันมีชื่อเสียงของอังกฤษ เปิดเผยรายงานการศึกษา เตือนบรรดาผู้ชายที่ชอบให้ก้นอุ่น นั่งเบาะทำความร้อน ว่า อาจเป็นการทรมาน สังขาร เหมือนกับเอาก้นไปปิ้ง ซึ่งจะทำให้เป็นหมันได้

รายงานกล่าวว่า ตามธรรมชาติของร่างกาย จะผลิตตัวเชื้ออสุจิได้ดีที่สุด เมื่อถุงอัณฑะมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งอยู่ที่ 37 องศาเซลเซียส สัก 1-2 องศา

จากการศึกษาของนักวิจัย มหาวิทยาลัย เกสเซนของเยอรมนี ได้ใช้เครื่องวัดอุณหภูมิติดกับถุงอัณฑะ ของอาสาสมัครซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ 30 คน แล้วให้นั่งบนเบาะทำความร้อนนาน 90 นาที ชั่วเวลาผ่านไปเพียง 1 ชม. อุณหภูมิที่ถุงอัณฑะจะสูงขึ้นรวดเดียวถึง 37.3 องศา ยิ่งของอาสาสมัครคนหนึ่ง สูงถึง 39.7 องศา เมื่อเทียบกับผู้ชายที่นั่งบนเก้าอี้ธรรมดาบนรถ อุณหภูมิพวกเขาเฉลี่ยแล้วจะแค่เพียง 36.7 องศา

รายงานผลการศึกษากล่าวว่า นักวิจัยห่วงว่า ชั่วร้อนขึ้นแค่เล็กน้อย อาจจะไปกระทบกระเทือนขบวนการผลิตตัวอสุจิ เพราะเคยมีการศึกษาเมื่อก่อนหน้ามาแล้วว่า แม้แต่การนั่งที่เก้าอี้ธรรมดาในรถนานเกินกว่า 3 ชั่วโมง ก็อาจทำให้เสื่อมสมรรถภาพการมีลูกลงได้

ข้อมูลจาก : "เว็บไซด์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ"

น้ำแอปเปิ้ลคั้น ป้องกันสมองเสื่อม


สำหรับสาว ๆ คนไหนที่ชื่นชอบการรับประทานแอปเปิ้ล หรือน้ำแอปเปิ้ลน่าจะได้เฮกันก็คราวนี้ เพราะล่าสุดมีการวิจัยพบน้ำแอปเปิ้ลคั้น ช่วยรักษาสมองเสื่อม

โดย นักวิจัยมหาวิทยาลัยแมสซาชูเสตต์แห่งสหรัฐฯ พบในการศึกษาว่า หนูที่เลี้ยงด้วยน้ำแอปเปิ้ลคั้น จะเดินในทางเดินวกวนเป็นเขาวงกตได้คล่องขึ้น และสมรรถภาพร่างกายก็ไม่ค่อยเสื่อมถอยเหมือนอย่างหนูชราตัวอื่นด้วย

วารสาร ทางวิชาการ "โรคสมองเสื่อม" รายงานผลการศึกษาว่า นักวิจัยได้เลี้ยงหนูด้วยน้ำแอปเปิ้ลคั้น ลองให้กินวันละ 2 แก้ว เป็นเวลา 1 เดือน และเมื่อได้ผ่าตรวจสมองหนูออกดู พบว่ามีเศษโปรตีน ที่เรียกว่า "เบตา อไมลอยด์" ซึ่งจับสมองเป็นคราบ แบบเดียวกับที่พบตามสมองของคนที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม เกาะจับอยู่เพียงเล็กน้อย

เห็นทีคราวนี้หลาย ๆ คนน่าจะหันมาดื่มน้ำแอเปิ้ลคั้นกันดูบ้างแล้ว

ผัก ผลไม้ 7 ชนิด ที่ผู้หญิงควรรับประทาน



ถึง แม้จะมีสาวๆ หลายคนไม่ค่อยจะพิศมัยในการกินผักผลไม้เท่าไหร่นัก แต่ก็เห็นพยายามหาวิธีที่จะทานเข้าไป ด้วยความหวังที่อยากให้ผักผลไม้เหล่านั้นสร้างประโยชน์ให้กับร่างกาย ผักและผลไม้แต่ละชนิดนั้นก็มีวิตามินและแร่ธาตุที่พิเศษแตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้ก็เลยมีเรื่องราวของผักผลไม้ 7 ชนิด ที่มีผล 'โดยตรง' ต่อสุขภาพของ "ผู้หญิง" มาฝาก


1. ลูกพรุน ต้องบอก เลยว่าเป็นแหล่งโปแทตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ชั้นดี ที่สำคัญลูกพรุนยังช่วยให้สาวๆ มีเลือดฝาดดูเป็นสาวสดใส ยิ่งโดยเฉพาะสาวๆ ที่มีอายุ 25 ขึ้นไปร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันจะเริ่มสะสมตามที่ต่างๆ ผิวหน้าก็อาจจะหมองคล้ำลง ธาตุเหล็กที่มีในลูกพรุนจะช่วยดูแลเรื่องนี้ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญ เสียเลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย


2. ถั่ว เพียบ พร้อมไปด้วยโปรตีน เหล็กและวิตามินปีด้วยนะคะ มีนักวิทยาศาสตร์เค้าค้นพบว่าเมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนดที่ ละลายน้ำ (ซึ่งมีมากในถั่วค่ะ) ไฟเบอร์จะเคลือบกระเพาะ ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและนาน ความอยากอาหารจะลดลง แถมนอกจากไฟเบอร์แล้วในถั่วยังมีสารอาหารชนิดอื่นๆ อีกด้วย นี่ล่ะค่ะจึงทำให้ผู้หญิงอย่างเราหุ่นดีโดยไม่ขาดสารอาหาร


3. บรอคโคลี มีซีลีเนียมมากซึ่งจะช่วยบำรุงผิวพรรณและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว หนัง ทำให้ผิวพรรณอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวลแถมยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้


4. กล้วย โดย เฉพาะในกล้วยไข่จะมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระ เมื่อสาวๆ อายุ 22 ปีไปแล้ว ร่างกายจะเริ่มหยุดการเติบโต ความเสื่อมของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนค่ะ และนั่นก็จะทำให้เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น ที่แน่นอนที่สุดความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะลดลงเรื่อยๆ ความสามารถในการกำจัดอนุมูลอิสระก็ลดลง นี่ล่ะค่ะ สาว ๆ จึงต้องรับประทานกล้วยให้เยอะๆ


5. ฝรั่ง รู้ รึเปล่าคะว่า ฝรั่ง 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม ซึ่งวิตามินซีนี้มีบทบาทในการสร้าง 'คอลลาเจน' ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึงยืดหยุ่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัย


6. แอปเปิ้ล มี เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ 'เพคติน' ซึ่งจะช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนักและลดคอเลสเตอรอล ถ้าสาวๆ หิวเมื่อไหร่ล่ะก็ให้นึกถึงแอปเปิ้ลไว้ก่อนเลย


7. ส้ม เป็น แหล่งวิตามินเกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ น้องๆ รู้มั้ยคะว่าการรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกทางนึงนะคะ เพราะจะทำให้เราอิ่มท้องเร็ว สาวๆ ที่อยากลดน้ำหนักต้องส้มเลย

อาหาร ว่าง 10 ชนิดที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด!!!!

ในร้านสะดวกฃื้อหลายๆ ร้านนั้น ทุกๆ ครั้งที่เราเข้าไปนั้นมีสิน
ค้ามาก มายที่เมื่อเข้าไปนั้นจะดึงดูดความสนใจของเราได้อย่างมาก
นั่นก็คืออาหาร นั่นเอง

และบางทีของเหล่านี้อาจจะไม่อยู่ในรายการที่เราไม่ได้คิดที่จะ ซื้อไว้ก่อน สินค้าเหล่านี้จะมีอิทธิพลอย่างมากกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ ซึ่งไม่แตกต่างไปจากในประเทศต่างๆ หลายประเทศเลย หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่บางคนด้วย อาหารว่าง หรืออาหารทานเล่นนั่นเอง ในประเทศอเมริกานั้นดูจะสร้างความวิตกกังวลมากขึ้นทุกๆ ปี เพราะว่าส่วนประกอบของอาหารเหล่านี้นั้นส่วนมากจะเป็นพวกน้ำตาล สารเคมี สี และไขมัน เป็นส่วนใหญ่ และเป้นสาเหตุของโรคอ้วน และไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการเอาซะเลย

French Fries: เราๆ ท่านๆ นั้นอย่าเพิ่งมั่นใจกับสิ่งที่เค้าใช้ในการทอด ที่เค้าบอกว่ามีการเปลี่ยนน้ำมันสำหรับทอดบ่อยๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ มันฝรั่งนั้นส่วนประกอบหลักเต็มไปด้วยแป้ง และเมื่อนำไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจัด และปรุงรสชาตินั้น อาจจะเป็นอาหารว่างที่อันตรายที่สุด

Donuts: โด นัทคือ ขนมปังที่นำไปทอด อาหารชนิดนี้ก้เต็มไปดก้วยแป้งที่นำมาใช้ทำตัวโดนัทเองแล้ว เมื่อนำไปทอดก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ามันฝรั่งทอดเลย

Chips (Potato or Corn): สิ่ง นี่ก็คือมันฝรั่งทอดในรูปแบบอื่นที่แตกต่างออกไปที่ถูกนำไปใส่ไว้ในบรรจุ ภัณฑ์นั่นเอง แต่เราสามารถที่จะควบคุมอันตรายจากอาหารประเภทนี้ได้คือการนำไปอบแทนการทอด ซึ่งมันฝรั่งประเภทที่ใช้การอบแทนนั้นสามารถหาซื้อได้จากร้านอาหารเพื่อ สุขภาพ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใช่อาหารที่ดี และควรรับประทานบ่อยๆ อยู่ดี

Soda: บาง คนอาจจะสับสนกับการรวมสิ่งนี้เข้าไปเป็นกลุ่มอาหารด้วยนั้น สิ่งนี้ไม่เพียงไม่มีคุณค่าทางอาหารยังรวมไปถึงสารเคมีอีกมากมายที่ถูกบรรจุ อยู่ในผลิตภัณฑ์อีกด้วย

Cupcakes and Snack Cakes: whipped cream ที่มีไส้ครีมมันเยิ้ม
และส่วนประกอบหลักๆ ก็มีแต่ แป้ง น้ำตาล และสารปรุงแต่งกลื่น รส ซึ่งไม่มีคุณค่าอาหารเลย

Candy Bars: กับ เจ้าสิ่งนี้อาจจะยังพอมีคุณค่าทางอาหารให้เราอยู่บ้างกับโปรตีนประมาณ 1-2 กรัม จากถั่วที่เป็นส่วนผสม แต่ว่าปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่นั้นไม่สามารถนำมาทดแทนคุณประโยชน์ได้เลย เพราะความแตกต่างนั้นมีมากกว่ากันเยอะเลย แต่ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเภทเดียวกันคือ energy bars ซึ่งมีปริมาณแคลลอรี่น้อยกว่าถึง 1 ใน 3 มีโปรตีนมากกว่า และมีไขมันน้อยกว่าอีกด้วย แต่ยังไงก็มีคุณค่าสู้อาหารปกติไม่ได้อยู่ดี

Pork Rinds: เบคอนหรือ แคบหมูทอดในบ้านเรานั่นเอง
ซึ่งข้อนี้คงไม่ ต้องบอกใครๆ ก็คงทราบดีถึงสิ่งที่ได้รับจากเจ้าสิ่งนี้ว่ามีแต่ไขมันสัตว์

Fat-Free Cookies: สินค้า เหล่านี้เป็นที่น่าสงสัยในแง่ของโภชนาการ เพราะว่าถ้าดูเพียงผิวเผินอาจจะดูเหมือนอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น อาหารที่ปราศจากไขมัน ไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากแคลลอรี่ไปด้วย ดังนั้นสรุปก็คือ ไม่สมควรรับประทานอีกนั่นแหล่ะ

Crackers: แค รกเกอร์เต็มไปด้วยไขมันชนิด Trans ดังนั้นควรอ่านฉลากดูให้ดีก่อนซื้อ (Trans Fat คือ ไขมันแบบ Polyunsaturated ที่วางขายตามท้องตลาด มีการเติมธาตุไฮโดรเจนสังเคราะห์ เพื่อให้มีสถานะแข็งที่อุณหภูมิห้อง ไขมันแบบนี้ มีคุณภาพต่ำ เพราะไปลดปริมาณ HDL และเพิ่มปริมาณ LDL ในเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจมากยิ่งขึ้น

Pretzels: อาหาร กลุ่มนี้เป็นที่น่าแปลกใจ เพราะเป็นอาหารที่ไม่มีไขมัน แต่ไม่มีไขมันไม่ได้หมายความว่าเป็นอาหารที่ดี เพราะ Pretzels นั่นเต็มไปด้วยแป้ง และน้ำตาล ซึ่งแอบแฝงให้ดูเหมือนอาหารเพื่อสุขภาพ


ที่มา : วารสารจาร์พาม

ทริ ค ชะลอความแก่แบบง่ายๆ

ใคร ๆ ก็ไม่อยากแก่ โดยเฉพาะผู้หญิง เมื่ออายุขึ้นเลข 3 ก็แทบจะร้องหาตัวช่วยชะลอความแก่กันยกใหญ่ แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อไม่สามารถหยุดเวลาได้ นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช และ แพทย์หญิง ณัฐินี สุทธินรเศรษฐ์ มีวิธีสูงวัยอย่างสง่างามมาบอก

ท่องจำไว้ หลักต้านชราง่าย ๆ มีอยู่ 3 H

อันแรก Healthy Weight ลอง สังเกตคนที่มีน้ำหนักมากเกินมาตรฐาน จะค่อนข้างดูแก่กว่าคนทั่วไป ฉะนั้น คุมน้ำหนักให้ดีถ้ากลัวแก่ เจ้าอาหารตัวร้ายที่ต้องระวังก่อนหยิบเข้าปาก คือแป้งและข้าวขัดสี จำพวก ข้าวสวยและขนมปัง

ต่อมา Healthy Diet & Lifestyle ปรับ การดำเนินชีวิตให้ดี ให้เหมาะสม เช่น เป็นไปได้อย่านอนดึก ดื่มแอลกอฮอล์สังสรรค์จนลืมตายทุกวันหยุด หรือถ้ากลัวกระดูกพรุนตอนแก่ รับประทานผักให้มากที่สุด ควบคู่กับการออกกำลังกาย ถ้าใครยังอ้างว่าไม่มีเวลา แค่ขยับแข้งขยับขานิดหน่อยตอนดูละครก็ช่วยได้

ท้ายสุดแสนสำคัญ Healthy Mind ออก กำลังกายเสร็จแล้ว อย่าลืมออกกำลังใจด้วย อยู่กับปัจจุบัน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อย่ายึดติดอดีต กังวลกับอนาคต ยิ้มรับกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น รับรองว่าความแก่ไม่กล้ามาเยือน


ถ้า วิธีที่กล่าวมา ยากเกินกว่าจะทำได้

เทคโนโลยี เป็นอีกตัวช่วย ไม่ว่าจะเป็นครีมบำรุงผิว การรับประทานอาหารเสริม จนถึงนำเครื่องมือทางการแพทย์มาช่วย ได้แก่ การยิงเลเซอร์ทำลายกระ ฝ้า ที่ปัจจุบันไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนเพราะผลข้างเคียงน้อยลง หรือการใช้สารเคมีฉีดโบท๊อกซ์หน้าตึงที่หลายคนฮิต แต่ต้องทราบก่อนว่าคือการฉีดสารโปรตีนชนิดหนึ่งเข้าไปในผิว คุณสมบัติช่วยคลายกล้ามเนื้อ ทำให้ริ้วรอยลดลง จึงต้องทำบ่อย ๆ เพราะไม่ได้เป็นวิธีเพิ่มคุณภาพให้ผิวเหมือนกับการกระตุ้นการสร้างหรือ ยับยั้งการทำลายฮอร์โมนหนุ่มสาวที่อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

แต่ อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าสร้างสมดุลของร่างกายจากภายในสู่ภายนอก เป็นวิธีที่ดีที่สุด อย่างที่ยาขนานไหน หรือการผ่าตัดสมัยใหม่อย่างไรก็สู้ไม่ได้ เริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป

อย่าลืมว่า ความแก่มาเยือนเร็วกว่าที่คิด

4 อาหารสลายพุง

ด้วย วัฒนธรรมการกินที่เปลี่ยนไป ทำให้หนุ่มสาววัยใสที่กินไม่ระวังเริ่มตุ้ยนุ้ยก่อนวัยอันควร ใครกำลังหนักใจ เรามีอาหารที่มีการศึกษาว่าช่วยสลายไขมัน โดยเฉพาะไขมันรอบเอวได้อย่างมีประสิทธิภาพมาฝาก ลองกินตามสูตรนี้ดูนะคะ

1. อะโวคาโด อะโวคาโดอุดมไปด้วยสารเบตาซิสโตสเตอรอล ซึ่งช่วยในการดูดซึมคอเลสเตอรอล มีเส้นใยอาหาร ทั้งชนิดที่ละลายน้ำ ซึ่งช่วยขจัดคอเลสเตอรอลส่วนเกินออกจากร่างกาย และชนิดที่ไม่ละลายน้ำซึ่งช่วยป้องกันอาการท้องผูก ปริมาณแนะนำต่อวัน: ¼ ถ้วย

2. บรอกโคลี่ นักวิจัยระบุว่าสารอาหารอย่างแคลเซียมช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีที่จะสะสม ไว้เป็นไขมันส่วนเกินได้ และบร็อกโคลี่ก็มีดีที่เป็นแหล่งแคลเซียมซึ่งไม่มีไขมัน ปริมาณแนะนำ: 1 1/2 ถึง 2 ถ้วย

3. ถั่วและเมล็ดพืชต่างๆ มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนักได้ โดยเฉพาะถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืชต่างๆ เช่น อัลมอนด์ มะม่วงหิมพานต์ ถั่วลิสง เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดฟักทอง พิสทาชิโอ ปริมาณแนะนำต่อวัน: 2 ช้อนโต๊ะ

4. น้ำมัน เลือกกินน้ำมันที่มีประโยชน์ช่วยลดน้ำหนักได้ น้ำมันพืชต่างๆ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันชา น้ำมันถั่วเหลือง ปริมาณแนะนำต่อวัน: 1 ช้อนโต๊ะ

นอกจากดูแลเรื่องอาหารการกินแล้ว ก็ต้องออกกำลังกายเป็นประจำด้วย

องุ่น กับการป้องกันโรคสมองเสื่อม

ผลจากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์แห่งเมืองนิวยอร์ก

ได้ เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการค้นคว้าวิจัยเพื่อหายาหรือวิธีการป้องกันและ รักษาโรคสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer) นั้นได้มุ่งความสนใจไปยังองุ่น ซึ่งในองุ่นจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ หรือที่เรียกว่า Polyphenols โดยจะส่วนใหญ่เราจะสามารถบริโภคได้ในรูปของไวน์แดงหรือน้ำองุ่น โดยสาร Polyphenols จะมีส่วนช่วยให้คนเราสามารถมีอายุสมองที่ยาวนานขึ้นและแข็งแรง ทำให้สามารถทำงานและจดจำสิ่งต่างๆได้เป็นอย่างดีถึงแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม

ซึ่ง ทางนักวิจัยจากสถาบันวิจัยของ Mount Sinai School of Medicine ในนิวยอร์กเปิดเผยว่า

สาร Polyphenolsทั้งในน้ำองุ่นหรือ ไวน์แดงนั้น มีประสิทธิภาพและความสามารถที่จะไปกำจัดสาร beta-amyloid ที่เป็นสารที่ทำตัวเหมือนเป็นคราบหินปูนห่อหุ้มเซลล์สมองของเราทำให้อาหาร ไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ และยิ่งถ้าใครมีสาร beta-amyloid เกาะเยอะๆก็จะทำให้การทำงานของสมองมีประสิทธิภาพลดลง

โดยทางทีมนัก วิจัยพบว่า

คน ที่ดื่มไวน์แดงหรือน้ำองุ่น 100 % เป็นประจำมีอัตราความเสี่ยงในการเป็นโรคสมองเสื่อมในอัตราที่ต่ำมาก ซึ่งการค้นคว้าวิจัยในเรื่องนี้ได้ถูกนำไปแสดงผลงานที่ซานดิเอโก้ในการ ประชุมวิชาการประจำปีเกี่ยวกับ Society for Neuroscienceซึ่งถือว่าเป็นการดีที่เรารู้หนทางป้องกันไว้ก่อนดีกว่าต้องมา รักษาโรคทีหลัง

ที่มา http://www.newsdaily.com/Science/

"9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์ "

"9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์ "


โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด
ผู้ หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัด เรื่องอาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมอง เป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้


1. จิบน้ำบ่อย ๆ (Drink water very often)

สมอง ประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่ง ผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ


2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3)

คน ไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น


3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day)

หลัง จากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน


4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention)

การ ตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิด ขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน


5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ (Laugh and Smile)

ทุก ครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ


6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday)

สิ่ง ใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็น โดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆเมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์


7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress)

ขณะ ที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง


8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things inlife every day)

ฝึก เขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์


9. ฝึกหายใจลึก ๆ (Deep breath)

สมอง ใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยาย ใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

นิสัยที่ทำร้ายสมอง

นิสัยที่ทำร้ายสมอง

วันนี้เกร็ดความรู้มีนิสัย 10 ข้อ ที่ทำร้ายสมองมากฝากกัน...

1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2. กินอาหารมากเกินไป จะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาสมอง

5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะ เข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

6. การอดนอน เป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้ ส่วนการนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน

7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อ ประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ

10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

สมอง เป็นอวัยวะที่สำคัญ ยังไงก็อย่าลืมหันมาเอาใจใส่กันด้วย.

Credit By เดลินิวส์