ประโยชน์กินผัก-ผลไม้ 5 เฉดสี

เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้ร่างกาย

สารอาหารที่ได้จากผักและผลไม้ นอกเหนือจากวิตามินและเกลือแร่ สารพฤกษเคมีหรือที่เรียกกันว่า "ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients)"ซึ่ง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ยังเป็นสารอาหารสำคัญช่วยให้สุขภาพดี ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บด้วย ไฟโตนิวเทรียนท์คือ สารอาหารจากพืชที่มีบทบาทสำคัญต่อร่างกายเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกำจัดสารพิษ ทำให้ร่างกายประสาน กัน อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ต้านการอักเสบ และควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์

          ไฟโตนิวเทรียนท์มีมากกว่า 2,000 ชนิด แต่ชนิดที่สำคัญ ได้แก่ สารในกลุ่มโพลีฟีนอล, กลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์ เช่น เควอซิทิน,โพ รแอนโธไซยานิดิน เป็นต้นด้าน องค์การอนามัยโลกประกาศว่า ต้องรับประทานผักผลไม้ 400-500 กรัมต่อวัน จะได้รับวิตามิน เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์ เพียงพอต่อร่างกาย ซึ่งผลการสำรวจพบว่า โดยเฉลี่ยคนไทยรับประทานผักผลไม้วันละ 276 กรัมต่อคนเท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน

          ผศ.ดร.สิริ ชัย อดิศักดิ์วัฒนาอาจารย์ประจำหลักสูตรโภชนาการและการกำหนดอาหาร คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า สารต้านอนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลเคมีที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย อาจเกิดจากการเผาผลาญสารอาหารที่เรารับประทาน ภาวะป่วย การติดเชื้อ การสูบบุหรี่ รังสีอัลตราไวโอเลต ความเครียด โดยอนุมูลอิสระเป็นสารที่มีอิเล็กตรอนอิสระอยู่ภายในโครงสร้าง ซึ่งไวต่อปฏิกิริยากับดีเอ็นเอ โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต มีผลให้อวัยวะเสียหายและทำงานผิดปกติ ซึ่งตรงกับผลการวิจัยของยูเอสดีเอ พบว่าการบริโภคผักผลไม้ที่มีไฟโตนิวเทรียนท์เป็นประจำ สามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่าง ๆเช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดตีบและแข็งตัว โรคอัลไซเมอร์ โรคไขข้ออักเสบ โรคเบาหวาน ความชรา
          ขณะ ที่ นพ.วิเรนทร์ มัลโฮตราแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านแอนตี้เอจจิ้ง ศูนย์วิทัลไลฟ์ เวลเนส เซ็นเตอร์ รพ.บำรุงราษฎร์ เสริมว่า การเลือกรับประทานผักผลไม้ครบ 5 สีหลักทุกวัน ยังเพิ่มคุณประโยชน์ที่สำคัญต่อร่างกายและให้ไฟโตนิวเทรียนท์แตกต่างกัน ซึ่ง 5 สีหลักประกอบด้วย สีแดงจากมะเขือเทศทับทิม อะเซโรลา เชอร์รี่ สตรอเบอรี่ แอปเปิ้ลแดง ให้สารไลโคปีน,กรดเอลลาจิกสีเหลือง/ส้มให้เบต้า-แคโรทีน, เฮสเพอริดิน จากส้ม มะนาว แครอท,สีเขียว ให้เอพิแกลโลแคททิชินไกลเคท, ลูทีนและซีแซนทีน จากบรอกโคลี คะน้า กะหล่ำปลี ผักโขม วอเตอร์เครส,สีม่วง/น้ำเงินจากกะหล่ำปลีม่วง ดอกอัญชัน บลูเบอรี่ องุ่นม่วง ให้แอนโธไซยานิน,เรสเวอราทรอล และ สีขาวจากกระเทียมลูกแพร์ หอมใหญ่ ให้อัลลิซิน เควอซิทิน 


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

กล้วย...อาหารดีใกล้มือ

มีประโยชน์แทบทุกส่วนของต้น

แนะนำเมนูล้างพิษด้วย ยำหัวปลี หรือสลัดดอกกล้วย (Banana Flower Salad)

          ผลไม้ไทยที่อยู่คู่ครัวไทยมากที่สุด รองจากมะพร้าว แล้วก็คือ กล้วย ไปที่ไหนก็เจอกล้วย วิถีชีวิตคนไทยผูกพันกับกล้วยและต้นกล้วยมาเนิ่นนาน

          แต่ฝรั่งส่วนใหญ่รู้จักแต่ กล้วยหอม บางคนก็กิน กล้วยน้ำว้า ไม่เป็น กล้วยประเภทหลังนี่แหละที่ปลูกง่าย โตเร็ว ประเดี๋ยวก็ออกผล เด็กไทยแต่เล็กๆ ก็กินกล้วยน้ำว้าครูด ดูเหมือนเราคุ้นลิ้นกับกล้วยน้ำว้า มากกว่ากล้วยหอม แต่พอโตขึ้นมาหน่อย เมนูฝรั่งมักนำกล้วยหอม จับคู่กับไอศกรีม หรือของหวานอย่างอื่น ไม่ยักใช้กล้วยน้ำว้า

          แต่เอาเถอะ จะกินกล้วยชนิดไหนดีทั้งนั้น บ้านใครปลูกกล้วยจะได้ใช้ทุกส่วนของต้นกล้วย โดยเฉพาะอาหารไทยใช้ใบตองหรือใบกล้วย เป็นภาชนะธรรมชาติอยู่แล้ว ฝรั่งมองแล้วอิจฉาเพราะจะหาใบไม้ชนิดไหนมาห่อ ต้ม นึ่ง แล้วได้กลิ่นหอมชวนกินอย่างใบตองคงไม่มี พอนึกออกอาจจะมี ใบองุ่น ที่มาทำข้าวห่อใบองุ่น เป็นอาหารกรีกและคนในแถบตะวันออกกลางจนถึงแอฟริกาเหนือ คล้ายข้าวห่อใบบัวแต่เขากินใบองุ่นเข้าไปด้วย รสชาติเปรี้ยว ใบองุ่นก็เหนียว แต่ก็ได้รสได้กลิ่นแบบอาหารของคนแถวนั้น กินอาหารกับใบตองดีกว่า ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ข้าวเหนียวห่อใบตองปิ้ง ย่าง หรือนึ่งเป็นข้าวต้มมัด

          ส่วนผสม ยำหัวปลี ที่มีแต่ผักล้วนๆ ได้แก่ หัวปลี 80 กรัม บีทรูท 60 กรัม มะม่วงดิบ 70 กรัม สาหร่ายวากาเมะ 3 กรัม ใบผักชี 3 กรัม ใบสะระแหน่ 10 กรัม หอมแดงสับละเอียด 10 กรัม งาขาวงาดำรวม 5 กรัม ตะไคร้สับละเอียด 10 กรัม น้ำมะนาว 10 มล. ผงพริก มากน้อยตามต้องการ วิธีทำ ล้างหัวปลี ซอยบางๆ หัวบีทรูทและมะม่วงดิบ ให้ซอยเป็นเส้น ผสมทั้งหมดในชามแล้วเติมสาหร่ายกับงาขาวงาดำ บีบมะนาว เติมผงพริก จานนี้ไม่มีน้ำสลัดเพื่อให้ได้รสชาติแท้ๆ จากผัก มีรสเข้มขึ้นด้วยสาหร่ายออกรสเปรี้ยวหวานอมเผ็ดเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นชอบรสไหนสามารถปรุงแต่งได้ตามต้องการ

          หัวปลีเป็นจานผักที่นิยมมากตั้งแต่ศรีลังกา ลาว จนถึงเอเชียใต้ ในเมืองไทยก็กินหัวปลีเหมือนเป็นอาหารพื้นบ้าน เพราะบ้านคนไทยปลูกต้นกล้วยกันอยู่แล้ว หัวปลีสดกินกับผัดไทยหรือจิ้มน้ำพริก ลวกก็ได้ หรือต้มข่าไก่ใส่หัวปลี หมกหัวปลี แกงเลียงหัวปลีช่วยขับน้ำนม ฯลฯ หัวปลีมีเส้นใย มีวิตามินเอ วิตามินซี โปตัสเซียม แมกนีเซียม มีธาตุเหล็กและแคลเซียม มีสรรพคุณช่วยแก้อาการหลอดลมอักเสบ ท้องผูก และรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร

          กินดอกกล้วยแล้วอย่าลืมกินกล้วยสด ชนิดสุกมากหน่อยกินแก้อาการท้องผูก มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ แต่ถ้าท้องเสียถ่ายมากเกินไปให้กินกล้วยห่าม ที่ผิวเปลือกมีสีเขียวปนเหลือง เพราะในเนื้อกล้วยดิบที่ยังไม่สุกมากมีสารแทนนิน มีฤทธิ์ฝาดสมาน ช่วยยับยั้งเชื้อโรค ใช้ได้ผลดีกับอาการท้องเสียระยะแรก ปลูกต้นกล้วยไว้เหมือนเป็นล่วมยาในบ้าน หยิบใช้ได้เสมอ

          มิน่าล่ะ...ใครๆ ก็พูดว่าเรื่องง่ายๆ คือเรื่องกล้วยๆ เป็นของดี (และกินอร่อย) ใกล้มือที่อยู่ในสวนหลังบ้านนี่เอง...


ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

แนะ 3 สูตรทำลาย "ธาตุเครียด"

คนสุข บ้านก็สุข

แม้ จะผ่านเหตุการณ์ความไม่สงบไปหลายวันแล้ว แต่เชื่อว่าภาพความรุนแรงเหล่านั้นยังคงฝังอยู่ภายใต้จิตสำนึกของประชาชนไม่ ลืมเลือน โดยเฉพาะครอบครัวที่ติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนครอบครัวที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
      
       ภาพที่ได้รับเหล่านั้น เปรียบเสมือนเป็น "ธาตุเครียด" ที่หากบ้านไหนได้รับ และไม่รู้จักวิธีจัดการ ธาตุเหล่านั้นอาจจะกัดกินสมอง และเข้าไปทำลายส่วนที่เป็นความจำดีๆ ได้ และหากปล่อยทิ้งไว้นาน การควบคุมอารมณ์จะอ่อนแอ สามารถถูกปลุก และกระตุ้นได้ง่าย เกิดเป็นความแตกหัก และความขัดแย้งในครอบครัวตามมา
      
       เนื่องในวันหยุดพักผ่อนนี้ "นพ.กฤษดา ศิรามพุช" ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ ได้เผยเคล็ดในการล้างทุกข์ออกจากสมองว่า ต้องใช้เทคนิคลอกทีละชั้นแทนการหักดิบ โดยแนวอายุรวัฒน์นั้น มีอยู่ 3 ข้อหลักคือ การผ่อนชีวิต คิดให้สวย ช่วยด้วยสัมผัส
      
       สูตรแรก "การผ่อนชีวิต"
      
       สูตรนี้ เรียกว่า "สโลไลฟ์ (Slow life)" ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ให้ขี้เกียจ แต่ต้องปรับตัวดังนี้
       
       1. นอนเร็วขึ้น อ่านหนังสือให้มากขึ้นเพื่อให้สมองได้พักจดจ่ออยู่นิ่ง เพราะถ้าว่างจัด สมองจะคิดว้าวุ่นไปจนเหนื่อย
      
       2. กินข้าวเป็นเวลา โดยจัดเวลาอาหารให้ท้อง และสมองให้ใกล้เวลาเดียวกัน แม้จะมีงานค้างอยู่แต่ขอให้หาเวลารับประทานให้ได้เป็นเวลาใกล้เคียงกันในแต่ ละวันด้วย
      
       3. ทำกิจกรรมทีละอย่าง เช่น ถ้ากินข้าวก็กินอย่างเดียว อย่าดูทีวีหรืออ่านหนังสือ อาจมีคุยกันบ้างระหว่างรับประทานอาหาร เป็นการผ่อนสมองจากที่ต้องทำ "พหุงาน (Multitasking job)" พร้อมกันเวลาทำงาน
      
       สูตรสอง "คิดให้สวย"
      
       ให้คิดว่า "สมอง" เหมือน "คอมพิวเตอร์" ที่ยิ่งเก็บข้อมูลดีๆ ไว้มากก็จะยิ่งทำให้เครื่องสะอาดและทำงานคล่อง เก็บไว้จนล้นเลยยิ่งดี นอกจากนี้ ทุกขณะที่เป็นภาพสร้างความสุขให้หัวใจ ขอให้บันทึกเก็บไว้ เพราะยามใดที่หลับตา สมองจะเล่นภาพนั้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เช่น เปิดหน้าต่างออกมองท้องฟ้ากว้างสีฟ้าสวยแล้วถ่ายภาพเก็บไว้ในหัว แหงนดูดารายามค่ำคืนแล้วจะรู้สึกสงบเย็นไม่เป็นตัวตนอัตตา
      
       "ขอให้รู้สึกว่า ทุกนาทีชีวิตเป็นความสวยงามที่ต้องซาบซึ้งให้มากที่สุด นั่งวาดภาพสวยๆ ด้วยตัวเอง ชอบภาพไหนให้นึกไว้ แล้ววาดออกมา ภาพข่าวใดที่น่ากลัวให้มองผ่านไปอย่าประทับในใจให้แน่นนัก ให้ตระหนักอยู่เสมอว่า ชีวิตสั้นมาก ขอให้ใช้สร้างสุขให้มากที่สุด"
      
       สูตรสาม "ช่วยด้วยสัมผัส"
      
       การถูกลูบไล้ให้ตรงจุดนั้น ช่วยปรุงให้เกิดความสบายขึ้นมาจากกายสู่ใจ ดังนั้นวิธีดูว่าใครนวดดีหรือไม่ ต้องนวดแล้วรู้สึกสบายออกมาจากใจนั่นแปลว่าใช่เลย โดยวิธีสัมผัสนั้นอาจเริ่มจากตัวเราทำเองก่อนดังนี้ คือ
      
       แช่น้ำอุ่นสักพักแล้วใช้ฟองน้ำ หรือผ้าขนหนูถูตัวสักครึ่งชั่วโมง เวลานอนให้เอาเท้าสองข้างถูกันไปมาจนกว่าจะหลับสนิท เอามือดันศีรษะแบบต้านแรงกันทีละข้าง ซ้าย ขวา หน้า และหลัง จุดน้ำมันหอมแบบ "สุคนธบำบัด" แล้วใช้น้ำมันหอมนั้นนวดตามจุดชีพจร ถ้าบำบัดเองไม่หายก็อาจลองหา "นักนวด" มานวดแบบผ่อนคลายให้ก็ช่วยได้ไม่น้อย 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ

5 ประโยชน์ในการออกกำลังกาย


เพื่อความฟิต พิชิตโรค

ทาง ตะวันตกแบ่งประเภทการออกกำลังกายเพื่อให้ได้ประโยชน์หลักๆ 4 ข้อคือ

          1) การออกกำลังแบบแอโรบิก อะไรที่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ อย่างต่อเนื่องชั่วระยะเวลาหนึ่ง เป็นต้นว่า เต้นแอโรบิก เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน กีฬาเหล่านี้จะใช้ออกซิเจนเป็นพลังหลักในการออกกำลังกาย จึงมีผลดีกับระบบหัวใจและปอดจากการศึกษาพบว่า การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง 10 นาทีและทำวันละ 3 รอบ จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพไม่แพ้ต่อเนื่องรวดเดียว 30 นาที

          2) การออกกำลังแบบมีแรงต้าน (Resistance) เห็นชัดคือ การยกน้ำหนัก รวมทั้งท่าออกกำลังบางอย่างถึงไม่มีตุ้มน้ำหนักหรือดัมเบลก็ใช่ เช่น การทำท่าซิทอัพ เพราะมีตัวของเราเป็นแรงต้านแรงโน้มถ่วงของโลกเวลาเรายกตัวขึ้น เรียกอีกอย่างว่า การออกกำลังแบบ Strengtheni เมื่อก่อนเราเข้าใจว่ามีประโยชน์ต่อการสร้างความแข็งแรงของเซลล์กล้ามเนื้อ แต่เดี๋ยวนี้มีการศึกษาค้นพบว่า ถ้าคนที่เป็นโรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง ออกกำลังกายแบบนี้จะเพิ่มไขมันที่ดีให้กับร่างกายด้วย ไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน แค่ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ

          3) การออกกำลังกายแบบยืดคลายกล้ามเนื้อ (Flexibility) ก็โยคะนั่นแหล่ะ ถือว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดี ทำให้กล้ามเนื้อข้อต่อและเนื้อเยื่อรอบข้อมีการเคลื่อนไหวอย่างถูกต้อง เสริมสร้างความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ช่วยป้องกันการปวดต่างๆ ที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นแต่คนที่เริ่มฝึกโยคะ โดยเฉพาะคนที่อายุมาก ควรได้รับการสอนตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจากอย่างถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญ ไม่เช่นนั้นโอกาสเกิดการบาดเจ็บจะสูงมาก

          4) การออกกำลังกายเพื่อฝึกการทรงตัว (Balance) โยคะก็ใช่ รำมวยจีน ไท้เก็ก ไทชิ ใช่หมด หมอขอเน้นสำหรับผู้สูงอายุ รวมถึงคนวัย 30 ขึ้นไปด้วย สังเกต ใส่ส้นสูง เดี๋ยวพลิกข้อเท้าแพลง เดินแล้วพื้นไม่เท่ากัน การทรงตัวเสีย การรับความรู้สึกของข้อเท้ามันไม่ได้ สะดุดโน้นนี่นั่นนู้น คนเรายิ่งอายุมากขึ้นการทรงตัวจะเสื่อมเองโดยธรรมชาติ

          ดังนั้น การฝึกสร้างความสมดุลในการทรงตัวจะช่วยลดปัญหาการหกล้มเมื่อสูงวัยได้เป็น อย่างดี หรือขณะที่ยังวัยกลางคนจะเดินมั่นคงขึ้น ไม่ข้อเท้าพลิกง่ายๆ
          หมอขอเพิ่มข้อ 5 ซึ่งสำคัญมาก

          5) ออกกำลังกายแบบประสานลมหายใจ (Breathing) ได้แก่ ชนิดกีฬาที่เน้นการเคลื่อนไหวของร่างกายให้สัมพันธ์กับการหายใจ หมอถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ควรจะฝึกประกอบไปด้วย ไม่ใช่เอาแต่วิ่งหรือยกน้ำหนัก ปกติคนเราหายใจตื้นมาก เรียกว่าใช้ศักยภาพของปอดที่มีอยู่ไม่เต็มที่เหมาะสม แต่ถ้าเราฝึกหายใจให้ถูกต้องจะทำให้ร่างกายได้ประโยชน์รับออกซิเจนได้มาก ขึ้น

          การออกกำลังกายแบบตะวันออกทั้งหลายที่มีการเคลื่อนไหวช้าๆ อย่าง โยคะ ไท้เก็ก ไทชิ รำมวยจีน รวมทั้งแบบตะวันตก พิลาทีส (Pilatese) จะ เน้นประสานระหว่างร่างกายและการหายใจ ผลพลอยได้อีกอย่างคือ ทำให้จิตใจจดจ่อก่อให้เกิดสมาธิ

          ถามว่ากีฬาชนิดไหนจะให้ครบประโยชน์ทั้งห้า ..ไม่มีหรอกค่ะ หมอแนะให้ออกกำลังกายแบบผสมผสาน ไม่สนับสนุนให้ออกกำลังกายอย่างใดอย่างหนึ่งไปตลอดด้วย สมมติวิ่งอย่างเดียว เดี๋ยวก็มีเรื่องปวดตามมา ฉะนั้นต้องผสมหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน

          ทีนี้ในการออกกำลังกายต้องมีพื้นฐานอันหนึ่ง ในภาษาอังกฤษคือ เรื่อง Core Muscle หมอใช้คำว่า กล้ามเนื้อช่วงลำตัว ที่เห็นก็มี พิลาทีส ที่เน้นเรื่องกล้ามเนื้อช่วงลำตัวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อหลัง กล้ามเนื้อลำตัวด้านข้าง และเน้นการวางท่าทาง (Posture) ในชีวิตประจำวัน ทำให้ช่วยลดและป้องกันอาการบาดเจ็บจากการปวดหลัง ปวดเข่า ปวดคอ ได้ค่อนข้างเยอะ

          แต่ไม่ได้หมายความว่า พิลาทีสจะดีกว่าวิ่ง ดีกว่าโยคะนะคะ อย่างที่หมอบอกต้องเล่นกีฬาแบบผสมผสานค่ะ

          หมอไม่ได้บังคับให้ออกกำลังกายทุกวันนะคะ เพราะเข้าใจว่ามันยากมาก ตัวหมอเองก็ไม่ได้ออกกำลังกายทุกวันนะ ออกจริงๆ จังๆ เป็นเรื่องเป็นราว อาทิตย์ละหนึ่งวันเอง และแค่ชั่วโมงเดียวด้วย แต่หมอจะพยายามออกกำลังกายเท่าที่หมอจะทำได้ในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น การออกกำลังกายแบบแอโรบิก หมอใช้วิธีเดินในที่ทำงาน เดินขึ้นเดินลง เดินเท่าที่จะทำได้ ถามว่าพอมั้ย ก็ไม่พอนะ มันต้องอะไรที่ใช้ energy เยอะ กว่านี้ แต่ดีกว่าไม่พยายามทำอะไรเลย กระทั่งคุยกับคุณขณะนี้ หมอแขม่วท้องด้วย เป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อสะโพก เพื่อความยืดหยุ่น

          การทรงตัวเช่นกัน เราสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน เวลาหมอยืนรอลิฟท์ หมอจะยืนขาเดียว โดยต้องทำให้ถูกหลัก ไม่ใช่เอียงไปเอียงมา แรกๆ อาจเอียง แต่หลังๆ จะดีขึ้น มันฝึกได้ ร่างกายของเรามันฝึกได้เสมอ การทรงตัวเป็นอะไรที่หมอทำตลอดเวลา

          ผู้สูงอายุประมาณ 20-30% ตาย เพราะเป็นผลพวงมาจากการล้ม การหกล้มส่วนหนึ่งก็มาจากการทรงตัวไม่ดี เดินแล้วหกล้ม ล้มแล้วกระดูกสะโพกหัก กระดูกหลังยึด คนสูงวัยเข้าโรงพยาบาลด้วยเรื่องเหล่านี้เยอะ เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องเหล่า นี้เป็นอะไรที่เรารู้อยู่แล้วว่า ในอนาคตต้องเกิดแน่ เราก็ควรป้องกันเสียก่อน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์

“วิ่ง” ช่วยสมองเจริญเติบโตเร็ว

เพียง 2-3 วัน เซลล์สมองเกิดใหม่เป็นแสน


มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ชื่อดังของอังกฤษ ศึกษาพบว่า การออกกำลังด้วยการวิ่งจะช่วยบำรุงกำลังสมองและพิชิตความหลงลืมได้ เพราะมันช่วยกระทุ้งความจำเบาๆ และช่วยให้สมองเจริญเติบโตขึ้น

           นักประสาทวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยศึกษาพบว่า เพียงแค่วิ่งอาทิตย์ละ 2 วัน จะเป็นประโยชน์ช่วยกระตุ้นสมอง ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบสติปัญญาอย่างใหญ่โต ด้วยเหตุว่า การวิ่งเพียง 2-3 วัน จะทำให้เกิดเซลล์สมองใหม่ๆ ขึ้นอีกเป็นแสน ในบริเวณสมองซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการก่อความจำ และการจำได้

           นอกจากนั้น การวิ่งยังจะช่วยการนึกได้โดยไม่สับสนดีขึ้น อันเป็นความสามารถอันจำเป็นของการเรียนรู้และงานด้านสติปัญญาอย่างยิ่ง

           รายงานผลการศึกษาซึ่งเปิดเผยในวารสารวิชาการ "สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา" กล่าวบอกว่า ผลการศึกษาอาจนำไปสู่หนทางใหม่ เพื่อยับยั้งการเสื่อม ทรามของสติปัญญา ซึ่งมักเป็นกันอยู่ในผู้สูงวัยจำนวนมากได้


ที่มา : สสส.

'บัวบก-ตะไคร้'ต้านมะเร็งลำไส้ใหญ่

เตรียมพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์การแพทย์

นัก ชีวเคมี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่วิจัยพบ'บัวบก-ตะไคร้'มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ พร้อม คิดค้นวิธีการสกัดบัวบก/ตะไคร้ให้อยู่ในรูปสารสกัดมาตรฐาน ปูทางสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชาบัวบก/ตะไคร้ และแคปซูลอาหารเสริมต้านมะเร็ง

          ศ.ดร.อุษณีย์ วินิจเขตคำนวณ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมามีข้อค้นพบทางการแพทย์ว่า บัวบกและตะไคร้เป็นพืชสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ ใหญ่ได้ แต่ยังขาดข้อมูลที่ชัดเจนถึงคุณค่าทางการแพทย์และปริมาณที่เหมาะสมในการ บริโภคจึงสนใจขอทุนสนับสนุนจากโครงการสมองไหลกลับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.)เพื่อศึกษาและพัฒนา ผลิตภัณฑ์จากบัวบก/ตะไคร้ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง

          ในงานวิจัยดังกล่าวได้ทดสอบการออกฤทธิ์ ทางชีวภาพของสารสกัดจากบัวบกและตะไคร้ต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในหนูขาว พบว่า สารสกัดจากบัวบกและตะไคร้มีฤทธิ์ป้องกันและยับยั้งการเกิดโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างดี โดยกลุ่มหนูขาวที่ถูกกระตุ้นให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หลังจากการได้รับสารก่อ มะเร็งปนเปื้อนในอาหารประเภทปิ้ง-ย่าง  ตรวจพบจำนวน เซลล์ก่อมะเร็งขนาดใหญ่และมีเซลล์มะเร็งที่มีลักษณะเป็นเซลล์ร้ายและลุกลาม

          ขณะที่กลุ่มหนูขาวซึ่งได้รับสารสกัดจากใบบัวบกหรือตะไคร้ไม่ว่าก่อน หรือหลังถูกกระตุ้นให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่พบจำนวนเซลล์ก่อมะเร็งลดลงถึง 60% โดยเซลล์มีขนาดเล็กกว่าและยังไม่เกิดการลุกลาม

          จากการวิเคราะห์องค์ประกอบพบว่า ในสารสกัดบัวบกมีสารสำคัญอย่างน้อยหนึ่งตัว คือ 'กรดอะเซีย ติก' ที่อาจเป็นสารออกฤทธิ์ทำให้เซลล์มะเร็งเกิดการ ทำลายตัวเองส่วนสารสกัดจากตะไคร้นั้นพบสารสำคัญ คือ 'ซิทรอล' ที่มีฤทธิ์หยุดวงจรการแบ่งตัวของ เซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นการค้นพบครั้งแรกสำหรับคุณสมบัติข้อนี้ของตะไคร้

          ศ.ดร.อุษณีย์ กล่าวว่า ทีมวิจัยไม่เพียงพบหลักฐานสนับสนุนทางการแพทย์ถึงฤทธิ์ต้านมะเร็งลำไส้ใหญ่ จากสารสกัดบัวบกและตะไคร้ แต่ยังสามารถสกัดสารที่นำมาทดสอบให้อยู่ในรูปสารสกัดมาตรฐาน ได้อีกด้วย กล่าวคือ เราใช้เทคนิค'HPLC fingerprint' กำหนดและควบคุมสารที่สกัดจาก บัวบกหรือตะไคร้ให้มีปริมาณความเข้มข้นของสารสำคัญที่แน่นอนสม่ำเสมอ ปลอดภัย และได้มาตรฐานทุกครั้ง จึงเหมาะต่อการนำไปใช้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์

          "นอกจากนี้ เพื่อให้สามารถกำหนดปริมาณในการบริโภคสารสกัดจากบัวบกหรือตะไคร้สำหรับ ป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิผล ทีมวิจัยยังได้เจาะเลือดหนูขาวมาทำการศึกษา วัดอัตราและขอบเขตการออกฤทธิ์ของสารออกฤทธิ์ภายหลังการป้อนสารสกัดมาตรฐาน จากบัวบกหรือตะไคร้ โดยพบว่า หนูขาวสามารถดูดซึมสารสำคัญได้ในเวลา 10 นาทีและเพิ่มปริมาณสูงสุดที่เวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นสารสกัดจะค่อยๆ ลดลงจนกระทั่งหายไปจากซีรั่มภายใน 6 ชั่วโมง ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้คำนวณสำหรับวางแผนวิจัยเชิงคลินิกในอาสาสมัคร สำหรับหาปริมาณการบริโภคที่เหมาะสมในมนุษย์ต่อไป" ศ.ดร.อุษณีย์ กล่าว

          ล่าสุด งานวิจัยได้ทดลองนำสารสกัดจากบัวบกหรือตะไคร้มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบในรูป ของ ชาบัวบก ชาตะไคร้ แคปซูลบัวบก และแคปซูลตะไคร้ บ้างแล้ว ผลทดสอบเบื้องต้นพบว่ามีความปลอดภัยดีหลังจากนี้จะอยู่ในขั้นตอนของการเผย แพร่เทคโนโลยีสู่ภาคเอกชน เพื่อนำไปต่อยอดผลิตเป็นอาหารเสริมสุขภาพทางเลือกใหม่ ที่จะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ต่อไปในอนาคต

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

เครื่องเทศ ป้องกันมะเร็ง

เครื่อแกงไทยและเทศยับยั้ง สารก่อโรคร้ายได้ 

เครื่องเทศชนิด ต่างๆ พบว่าขมิ้นกับโรสแมรี่มีพลังในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างแข็งขันที่สุด

คณะเคมีอาหาร มหาวิทยาลัยแคนซัส สเตทของอเมริกา พบว่าการปรุงเครื่องเทศเข้ากับเนื้อสัตว์ นอกจากจะช่วยให้มีรสมีชาติแล้ว ยังช่วยป้องกันอันตรายจากมะเร็งได้อีก

ศาสตราจารย์ เจ.สกอตต์ สมิธ ได้ติดตามศึกษาโครงการหลายอัน เพื่อหาทางลดสารประกอบเฮเทอโรไซคลิคอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสารประกอบก่อมะเร็งในการปรุงอาหารปิ้งย่างทอดเนื้อสัตว์ สารนี้หากบริโภคเข้าไปจะก่อให้เกิดเป็นมะเร็งลำไส้ ปอด ม้าม ต่อมลูกหมาก ต่อมน้ำนม ลำไส้ใหญ่ และไส้ตรงได้

อาจารย์สมิธได้ พบว่า เครื่องเทศบางอย่าง จะสามารถช่วยลดระดับสารประกอบนี้ เมื่อเวลาปรุงเนื้อสัตว์เหล่านั้นเป็นอาหาร  ลงเหลือ เพียงร้อยละ 60 ได้

"เนื้อวัวค่อน ข้างจะก่อให้เกิดสารประกอบนี้ เมื่อปรุงเป็นอาหารได้มากกว่าเนื้อหมูและไก่ ยิ่งเพสตรี้ที่ปรุงด้วยเนื้อวัว จะยิ่งเป็นอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ที่มีสารก่อมะเร็งสูงที่สุด และอาจจะเป็นแหล่งสำคัญของสารประกอบนี้มากที่สุดในบรรดาอาหารต่างๆ

คณะนักวิจัยของ เขาได้ศึกษาสรรพคุณของเครื่องเทศชนิดต่างๆ พบว่าขมิ้นกับโรสแมรี่มีพลังในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างแข็งขันที่สุด ทั้งยังพบ ด้วยว่า เครื่องแกงที่ใช้ในการปรุงอาหารไทยก็สามารถยับยั้งการ ก่อตัวของสาร ประกอบมะเร็งได้มาก ระหว่างร้อยละ 40-43 ด้วย

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วิธีการใช้ยา ระวังนะ!

เรื่องน่ารู้ของยาบางประเภท

ยาเหน็บ ใช้อย่างไร

           - กรณียาเหน็บทางทวารหนัก ทำให้ยาแข็งก่อนด้วยการนำยาแช่ในตู้เย็นหรือกระติกน้ำแข็ง แล้วอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย เวลาใช้ล้างมือให้สะอาด เช็ดให้แห้ง เหน็บในท่านอนตะแคง ใช้นิ้วจับยาสอดโดยเอาปลายมนเข้าให้ลึกที่สุด และควรนอนนิ่งๆ สักพัก กรณียาเหน็บช่องคลอด ต้องจุ่มเม็ดยาในน้ำสะอาดพอชุ่ม เพื่อให้ลื่นสอดช่องคลอดได้ง่ายในท่านอนo นอกจากยาที่กล่าวมาแล้ว ยาภายนอกยังมีอะไรบ้าง

มียาหยอดตา ยาป้ายตา หยอดหู การใช้ยา ต้องล้างมือให้สะอาดก่อนจะหยอดหรือป้ายทุกครั้ง

          - โดยเฉพาะยาตา ต้องล้างมือให้สะอาดมากๆ หยอดยาในท่านอนหรือนั่งแหงนหน้าขึ้น  มือหนึ่งดึง หนังขอบตาล่างให้เป็นกระพุ้งอีกมือหนึ่งจับขวดยา หยอดยาลงไปในกระพุ้งขอบตาล่างตามจำนวนที่ระบุ กะพริบตา 2-3 ครั้งเพื่อให้ยาเข้าตาได้ทั่วถึง พักหลับตาสักครู่ถ้ามียาหยอดตา 2 ชนิด ให้หยอดตาห่างกัน 5-10 นาที ถ้ามียาขี้ผึ้งป้ายตาด้วย ให้ป้ายหลังหยอดตาไปแล้ว 10 นาที ถ้าเป็นยาพวกขี้ผึ้งป้ายตาให้บีบยาประมาณครึ่งเซนติเมตร ลงในกระพุ้งขอบตาล่างหลับตา คลึงหนังตาเบาๆ ให้ยากระจายทั่วตา ระวังอย่าให้ปลายหลอดแตะถูกตา เสร็จแล้วปิดฝาให้แน่น  เมื่อ เปิดใช้แล้วไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 1 เดือน และไม่ควรใช้ร่วมกับผู้อื่น

          - ส่วนยาหยอดหูก่อนหยอดให้ทำความสะอาดหูโดยใช้สำลีเช็ดภายในหู อย่าให้ลึกเพราะจะไปโดนหูส่วนใน เอียงศีรษะแล้วหยอดยา4-5 หยด  หรือตามจำนวนที่ระบุ เอียงทิ้งไว้ครู่หนึ่งประมาณ 10 นาทีแล้วจึงตั้งศีรษะตรง เช็ดยาส่วนที่อาจจะไหลออกมาให้สะอาด


วิธีใช้ยาอมใต้ ลิ้น

          ยาประเภทนี้ระบุมาให้อมใต้ลิ้น ให้ผู้ป่วยนั่งเก้าอี้พิงหลัง นำยาอมใต้ลิ้น 1 เม็ดวางไว้ใต้ลิ้น ปิดปากและอมยาไว้ ปล่อยให้ยาละลายใต้ลิ้น อาการเจ็บหน้าอกจะหายภายใน 1-2 นาที ถ้าหลังจากอมยาไปแล้ว 5 นาทีอาการไม่ดีขึ้นให้อมยาเม็ดที่ 2 รอดูอาการสัก 5 นาทีถ้ายังเจ็บหน้าอกอยู่ให้อมยาเม็ดที่ 3 แล้วรีบไปโรงพยาบาล สังเกตว่าเวลาอมยานี้จะรู้สึกซ่า ถ้าไม่ซ่าแสดงว่ายาเสื่อมสภาพ หมดฤทธิ์ทางการรักษา การเก็บยาประเภทนี้  ต้องเก็บใน ขวดสีชา อย่าให้ถูกแสง ปิดฝาให้แน่นและเก็บไว้ในที่เย็น เพราะยานี้ใช้แก้อาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด จึงควรระวังเป็นพิเศษ


หากลืมกินยาบาง มื้อ จะไปเพิ่มจำนวนยาในมื้อต่อไปได้หรือไม่หรือหลับไปก่อนกินยา จะทำอย่างไร

          ห้ามเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า หรือกินซ้ำเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ได้รับยาเกินขนาดไป ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ ส่วนการหลับไปก่อนกินยาสามารถเลื่อนเวลาไปนิดหน่อย แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ญาติต้องพยายามให้ผู้ป่วยตื่นและให้กินยาตรงตามเวลา ไม่เช่นนั้นโรคจะไม่หายหรือหายช้า นอกจากนี้ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไทรอยด์ ควรกินยาอย่างสม่ำเสมอ อย่ากินบ้างไม่กินบ้าง เพราะจะทำให้ระดับยาในเลือดสูงๆ ต่ำๆ ผลการรักษาจะไม่ดีเท่าที่ควร หรืออาจส่งผลให้โรคกำเริบและมีความรุนแรงได้


เด็กที่กินยายาก ถ้าพ่อแม่จะผสมยาในนมได้หรือไม่

          ยาที่ผสมกับนมได้มีเพียงบางชนิดเท่านั้น ยาที่ผสมนมไม่ได้เช่น ยาประเภทบำรุงโลหิต ยาเตตราซัย คลิน ถ้าผสมนมจะไม่ ได้ผลและยังมีข้อเสีย หากเด็กดื่มนมไม่หมดก็จะได้รับยาไม่ครบตามขนาดที่ต้องการ ถ้าจะเอายาผสมนมต้องให้เด็กดื่มนมให้หมด แต่ทางที่ดีแล้วอย่าผสมดีกว่า  เปลี่ยนเป็นผสมน้ำเชื่อม เด็กจะกินยาง่ายขึ้น


รู้ได้อย่างไรว่า ยาเสีย

            ยาที่เปลี่ยนสีหรือรูปร่าง เป็นยาเสีย ไม่ควรกินเพราะเสื่อมคุณภาพหรือมีสารแปลกปลอมเกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นพิษได้  ส่วนยาที่ตกตะกอนตัวยาแข็งไม่กระจาย ก็ไม่ควรกิน เป็นยาเสื่อมสภาพเช่นกัน แคปซูลที่เปลี่ยนสี หรือแคปซูลบวม พองออก ยาเม็ดแตกร่วน สีซีด เม็ดเคลือบแตก มีลายเกิดขึ้น ก็ไม่ควรใช้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสังเกตอายุของยาได้จากฉลากยาด้วย ถ้าไม่บอกวันหมดอายุ ให้ดูวันผลิต ถ้าเกิน 3 ปีสำหรับยาปฏิชีวนะ และ 5 ปีสำหรับยาทั่วไป ก็ไม่ควรใช้แล้ว


วิธีเก็บยาที่ถูก ต้อง

          ยาแต่ละชนิดมีวิธีการเก็บรักษาต่างกัน  หลัก ใหญ่ของการเก็บยา คือไม่ให้ถูกแสง ความชื้น ความร้อน จะเก็บยาในขวดก็ได้ ปิดฝาให้แน่น ถ้าเป็นยาที่ไวต่อแสงให้เก็บในขวดสีชา เก็บยาใช้ภายนอกแยกจากยากิน ยาบางชนิด เช่น ยาหยอดตาที่เปิดใช้แล้ว ยาปฏิชีวนะที่ผสมน้ำแล้ว ยาเหน็บทวารหนัก ยาฉีดพวกวัคซีน ควรเก็บในตู้เย็นในชั้นธรรมดา ห้ามเก็บในช่องทำน้ำแข็ง เพราะจะทำให้ยาเป็นน้ำแข็งเสื่อมคุณภาพ และไม่เก็บยาที่ข้างประตูตู้เย็น หรือช่องเก็บผัก เพราะความเย็นไม่เพียงพอ และควรเก็บยาให้พ้นจากมือเด็ก อยู่ในตู้ปิดมิดชิด เพื่อป้องกันเด็กเข้าใจผิดว่าเป็นลูกกวาด หรือน้ำเขียว น้ำแดงแล้วจะหยิบไปกิน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

5 ท่วงท่า สำหรับยามเช้า เพื่อหุ่นสวย

เพื่อผู้หญิงรักสุขภาพ

เช้าก่อนที่จะออกไปทำงานเรามาบริหารกล้ามเนื้อกันสักนิด เพื่อให้ร่างกายได้กระชุ่มกระชวยด้วยกันดีกว่า โดย

              1. เรียกเหงื่อเพื่อหุ่นสวย
              ออกกำลังเบาๆเพื่อปลุกระบบการไหลเวียนของโลหิตให้ กระฉับกระเฉงขึ้นด้วยการกระโดดเชือกเล่นสัก 1 นาที แค่พอให้กล้ามเนื้อของคุณรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ไม่ต้องถึงกับกระโดดซะเพลินจนกล้ามเนื้อปวดเมื่อย ออกกำลังหักโหมเกินไปถือว่าผิดวัตถุประสงค์นะขอบอก

              2. แขนกระชับรับสัดส่วน
              ใต้ท้องแขนของคุณมักจะห้อยย้อยไปมาใช่มั้ย งั้นลองบริหารแขนด้วยท่านี้ โดยยืนตัวตรงแยกขาจากกันเล็กน้อย มือแต่ละข้างถือดัมบ์เบลขนาดเล็กหนักประมาณ 300 กรัม เอาไว้กางแขนทั้งสองข้างให้เหยียดตรง ค้างไว้ประมาณ 1 นาที จากนั้นค่อยปล่อยแขนลง
เคล็ด ลับ : หากในระหว่างที่กางแขน ก้มหน้าลงเล็กน้อยจะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้น

              3. สวยไม่สร่างแม้ข้างหลัง
              แผ่นหลังของคุณหนักอึ้งติดกับที่นอนทุกเช้าใช่หรือ เปล่า อย่ากระนั้นเลย ลองลุกขึ้นมาบริหารแผ่นหลังด้วยท่าแมวเหมียวคลานสี่เท้า จากนั้นงอเข่าขวาให้ลอยขึ้นจากพื้น พร้อมกับงอข้อศอกซ้าย ให้แขนและฝ่ามือลอยขึ้นขนานกับพื้นค้างไว้ในท่านี้ประมาณ 15 วินาที แล้วสลับไปทำเช่นเดียวกันนี้กับแขนและขาอีกข้างหนึ่ง ทำซ้ำข้างละ 4 ครั้ง

              4. หน้าท้องแบนราบอย่างนางแบบ
              ปูเบาะหรือพรมนุ่มๆรองไว้ นอนเหยียดยาวตัวตรง เท้าชิด แขนชิดแนบกับลำตัว จากนั้นงอเข้าขึ้น ให้เฉพาะส้นเท้าเท่านั้นที่แตะพื้น แล้วค่อยๆยกศรีษะและลำตัวส่วนบนขึ้นเข้าหาเข่า จนอยู่ในระดับที่ฝ่ามือแตะข้างเข่า และแขนขนานกับพื้น ค้างไว้สักครู่โดยนับ 1 - 10 ในใจ และกลับสู่ท่านอนเหยียดตัวตรง ทำซ้ำเช่นนี้ 10 รอบ แต่หลังจากที่บริหารท่านี้ได้ 2 - 3 วันแล้ว ให้คุณพยายามฝึกท่านี้ให้นานขึ้น จากแค่การนับ 1 - 10 ในใจ ให้เป็น 1 - 60 หรือนานประมาณ 1 นาที รับรองหน้าท้องยุบ

              5. ปั้นบั้นท้ายให้กลมกลึง
              ก้นกระชับและดูดี หากหมั่นบริหารเป็นประจำด้วยท่านอนเหยียดตัวตรง แขนวางราบกับพื้นแนบลำตัว งอเข่าตั้ง วางฝ่าเท้าราบแบบเต็มๆฝ่าเท้า จากนั้นยกขาข้างหนึ่งขึ้นให้ข้อเท้าพาดอยู่บนเข่าของขาอีกข้างหนึ่ง พร้อมกับยกก้นและแผ่นหลังขึ้นจากพื้น ค้างอยู่ในท่านี้ประมาณ 30 วินาที หรือนับ 1 - 30 แล้วจึงค่อยสลับเปลี่ยนไปทำเช่นเดียวกับขาอีกข้างหนึ่ง

ที่มา: เว็บไซต์เฮลคร์อนเนอร์

เรื่องต้องรู้ ถ้าผู้หญิงจะสูบบุหรี่

สารพิษ สารก่อมะเร็งเพียบ

 ความจริงที่ ผู้หญิงต้องรู้มากกว่านั้น ก็คือ บุหรี่แต่ละมวนมีสารเคมีที่เป็นพิษมากกว่า 250 ชนิด ในจำนวนนี้มี สารก่อมะเร็งราว 50 ชนิด...

ช่วงนี้หลายคนคง พอจะได้ยินสปอตวิทยุรณรงค์ไม่ให้ผู้หญิงสูบบุหรี่ โดยนำเอาประเด็นความสวยงามและความแก่ขึ้นมา "ขู่" ว่าสูบบุหรี่แล้วจะไม่สวย ตีนกาขึ้น แก่เร็ว

แต่มีความจริง ที่ผู้หญิงต้องรู้มากกว่านั้น ก็คือ จากเอกสารของ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ให้รายละเอียดเพิ่มเติมบอกว่า

บุหรี่แต่ละมวน มีสารเคมีที่เป็นพิษมากกว่า 250 ชนิด ในจำนวนนี้มี สารก่อมะเร็งราว 50 ชนิด

บุหรี่ทำให้ เลือดมาเลี้ยงผิวหนังน้อยลง โดยบุหรี่ 1 มวน ทำให้เส้นเลือดหดตัวไป 90 นาที และเลือดไปเลี้ยงที่ผิวลดลง 24 เปอร์เซ็นต์ สูบบุหรี่ 10 นาที ลดออกซิเจนที่ผิวหนัง 1 ชั่วโมง ถ้าสูบ 1 ซองต่อวัน เท่ากับผิวหนังขาดออกซิเจน 1 วัน

ผู้หญิงที่สูบ บุหรี่ 20 มวนต่อวัน มีโอกาสเป็น โรคสะเก็ดเงิน มากกว่าหญิงที่ไม่สูบบุหรี่ 3.3 เท่า สูบบุหรี่มากกว่า 1 ซองต่อวัน เพิ่มอัตราเสี่ยงแผลหายช้า 3 เท่า

ถ้าสูบบุหรี่ เกิน 50 ซองต่อปีจะมี รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ได้ถึง 4.7 เท่า โดยผู้หญิงจะเหี่ยวมากกว่าผู้ชายเป็นพิเศษ

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ติดพนันบอล ภัยร้ายที่ยังป้องกันได้

ครอบครัวต้องสังเกตและระมัดระวัง

    กระแส การแข่งขันบอลโลกที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ชักจะหวั่นว่าลูกหลาน คนใกล้ชิด จะเกาะติดกระแสนี้ในทางที่ผิด จนเป็น โรคติดพนันบอล

          นายแพทย์วศิน บำรุงชีพ จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุราและยาเสพติด โรงพยาบาลมนารมย์ ให้ความรู้ว่า การพนันบอล เป็นพฤติกรรมการติดพนันอย่างหนึ่ง

          ในทางจิตวิทยาเรียกว่า Pathological Gambling ถึงแม้รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นสิ่งไม่ดี เป็นสิ่งที่ผิด หรือส่งผลร้ายต่อการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น การเงิน การเรียน สุขภาพ หรือสังคมของตัวเองจะเกิดปัญหา แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะไม่ทำ คล้ายการติดสารเสพติด มีจิตใจจดจ่ออยู่กับการพนันตลอดเวลา ไม่สามารถคิด หรือทำอย่างอื่น มีแต่ความโหยหาที่อยากจะเล่น ยากที่จะควบคุม ในที่สุดก็จะเล่นการพนันต่อโดยไม่มีการยั้งคิด

          พฤติกรรมพวกนี้จะคล้าย พฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งต้องได้รับการบำบัดรักษา โดยในรายที่มีอาการมาก อาจต้องให้ยาลดการย้ำคิดย้ำทำ จากนั้นต้องพาไปทำกิจกรรมอื่นๆ ไม่ให้มีการเล่นพนันบอล เช่น จัดค่ายให้เล่นกีฬา อย่างเต็มที่ 1-2 สัปดาห์ รวมถึงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการควบคุมตัวเอง หางานอดิเรกให้ทำ หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกับครอบครัว

          สาเหตุการติดการพนันบอลของวัยรุ่นนั้น นายแพทย์วศิน ระบุว่า มี 2 สาเหตุใหญ่ คือ ประการแรก เกิดมาจากตัวของวัยรุ่นเอง เนื่องจากวัยรุ่นมักจะมีปัญหาในการควบคุมตัวเอง (Self Control) เพราะโดยปกติแล้วคนเราต้องมีการควบคุมตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงิน การใช้โทรศัพท์มือถือ การใช้อินเทอร์เน็ต และการใช้เวลาไปกับความบันเทิงเริงใจหรือกิจกรรมที่ไม่มีประโยชน์ แต่วัยรุ่นในปัจจุบันมีปัญหาในเรื่องของการควบคุมตัวเองอย่างมาก โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมกับวัยของตน

          สาเหตุประการที่สองคือ กระแสสังคมและการโฆษณา วัยรุ่นมักจะหลงไหลไปกับคำโฆษณาชวนเชื่อได้ง่าย โดยเฉพาะขณะนี้มีกระแสของการแข่งกีฬาฟุตบอลโลก โฆษณาจะชักชวนให้ร่วมชมการแข่งขัน แต่การชักชวนไม่ได้มุ่งไปในเรื่องของการเล่นกีฬาสักเท่าไหร่ แต่จะมุ่งไปในทางที่ชักชวนเล่นการพนันมากกว่าการออกกำลังกาย

          สำหรับแนวทางในการป้องกันลูกหลานจากการติดพนัน บอล นายแพทย์วศิน บำรุงชีพ จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุราและยาเสพติด แนะนำว่าต้องให้ความรู้ และเตือนให้เด็กรู้จักป้องกันตนเอง 

          1. ตัววัยรุ่นเองจะต้องพยายามควบคุมตัวเองและครองตนให้ดี ซึ่งหากชอบกีฬาก็ควรศึกษาเกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอล ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งจริงๆ เกี่ยวกับประโยชน์ที่จะได้จากการชมกีฬาที่แท้จริง

          2. ต้องศึกษาเพื่อที่จะเรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้หลงกลของเกมการตลาด และคำโฆษณาชวนเชื่อ 

          3. ต้องรู้จักพิจารณาไตร่ตรองว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องของการพนันนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลร้ายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น 
          
          4. หากมีใครชักชวนหรือท้าทาย เราต้องกล้าที่จะปฏิเสธ ไม่หลงไปเป็นเหยื่อของพวกที่มาชักชวน 

          5. ต้องเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด ไม่เห็นแก่เงิน

          6. อย่าใช้ข้ออ้างกับตัวเองว่าแค่พนันเล่นๆ เท่านั้น เพราะมันจะเกิดเป็นพฤติกรรมที่เคยชิน ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการทำซ้ำ 
  
          7. หากเจอผู้ที่ตกอยู่ในภาวะติดการพนันไปแล้ว ให้บอกพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดของเพื่อน และพยายามดึงเขาออกมาจากพฤติกรรมนั้น 

          8. หากพบว่าตนเองเข้าข่ายติดพนันบอล ก็ต้องกล้าหาญยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และบอกคนใกล้ชิดให้ช่วยเหลือ

          โดยเฉพาะในช่วงนี้ ต้องป้องกันโอกาสเสี่ยงไว้ก่อน ซึ่งครอบครัว ครูอาจารย์ คนรอบข้างก็ต้องคอยสังเกตพฤติกรรมของลูกหลานและลูกศิษย์ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า การเรียนเสียไปไหม แยกตัวออกไปจากกลุ่มหรือเปล่า หรือมีพฤติกรรมหมกมุ่นอยู่กับอะไรหรือเปล่า และตักเตือนให้เขารู้จักเตือนตัวเองและควบคุมตัวเอง ในการเสพสื่อที่เหมาะสม เพราะปัจจุบันมีสิ่งต่างๆ มากมายที่จะเข้ามายั่วยุและในทางชวนเชื่อ สามารถครอบงำกลุ่มเด็กและวัยรุ่นได้ง่าย เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่เท่าทันสื่อ วิจารณญาณยังไม่ค่อยดี มีการป้องกันตัวเองได้น้อย มีวิธีการปฎิเสธผู้อื่นได้น้อย มีความอยากรู้อยากลองค่อนข้างมาก

          ดังนั้น คนรอบข้างก็ต้องช่วยกันระมัดระวัง สื่อเองหรือผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับสื่อก็ควรพูดถึงการเล่นกีฬาฟุตบอลอย่าง สร้างสรรค์ เลือกส่งเสริมในด้านของการเล่นกีฬาเพื่อจะเป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียง การเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ การเล่นกีฬาเพื่อฝึกฝนการมีวินัยในตัวเองและการเคารพในผู้อื่น มากกว่าที่จะนำเสนอในเชิงการพนันว่าทีมใครจะชนะทีมใดจะแพ้ เพื่อให้คนหันมาเล่นกีฬาเพิ่มมากขึ้น

          ส่วนในกรณีที่พบว่าลูกหลานมีพฤติกรรมติดพนันบอล แล้ว นายแพทย์วศิน บำรุงชีพ ได้ให้แนวทางในการช่วยเหลือก่อนจะสายเกินไปว่า อันดับ แรกต้องสื่อสารให้เขาตระหนักรู้ว่าตัวเองมีความผิดปกติ และมีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษาและพบแพทย์ก่อนจะมีปัญหาร้ายแรง ขณะเดียวกันก็ควรจะต้องให้การดูแลด้านจิตใจและสังคมให้เขาเป็นพิเศษ โดยหากิจกรรมช่วยให้เขาได้ระบายความเครียด ความก้าวร้าวในตัวเองออกไป

          ซึ่งวิธีที่ดีและได้ผลก็คือ การให้เล่นกีฬา เพื่อให้เขาได้ออกกำลังกายมากๆ รวมถึงการจัดตารางเวลาการตื่นนอน การดูทีวีอย่างเหมาะสม ไม่ให้ถือเงินโดยตรง ซึ่งพ่อแม่ครูต้องให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือ โดยจะต้องติดตามผล ว่าเขามีปัญหาทางด้านอารมณ์ไหม ในรายที่ไม่ได้เล่นการพนัน แล้วมีอาการหงุดหงิด ก้าวร้าว ซึมเศร้า ต้องรีบปรึกษาแพทย์


ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

จะแก้เด็กมั่วเซ็กซ์ได้อย่างไร?

แพทย์ชี้ร้อยละ 80 วัยรุ่นไทยท้องโดยไม่พร้อม

โดย พญ.ชัญวลี ศรีสุโข
         
          "คุณหมอช่วยหน่อยเถอะ ครูโทรศัพท์มาว่าลูกสาวไม่ไปโรงเรียนเป็นอาทิตย์แล้ว ไปตามตัวมาจากบ้านผู้ชาย ไม่นึกเลยว่ามันจะท้องได้หลายเดือนแล้ว" แม่ของลูกสาวคนเดียวท้อง 5 เดือน
          "คุณหมอฉันไม่นึกเลยว่าลูกจะทำได้ ไปรับไปส่งที่โรงเรียน ลูกก็ตรงเวลาตลอด ไม่รู้ว่าเอาเวลาที่ไหนไปนอนกับผู้ชาย" แม่ของลูกสาวอายุ 16 ปี กำลังท้อง 6 เดือน
          "ทำไมแกไม่คิดถึงแม่บ้าง แม่ทำงานส่งแกเรียนหวังให้แกมีอนาคตไม่เหนื่อยเหมือนแม่ตัวอย่างก็มีให้เห็น แกอยากเหนื่อยแบบแม่แบบพี่ใช่ไหมจึงทำอย่างนี้" แม่ลูกสาม ลูกชายคนโตเป็นกรรมกร ลูกสาวคนที่สองท้องจนต้องออกจากโรงเรียน ลูกสาวคนนี้อายุ 13 ปี ท้อง 3 เดือน
          ที่เล่ามาเป็นส่วนน้อยของตัวอย่างจากชีวิตจริง ที่ประสบในจังหวัดที่ทำงาน
          ข้อมูลอนามัยแม่และเด็กทั่วประเทศ พบว่าร้อยละ 80 วัยรุ่นไทยท้องโดยไม่พร้อม ประมาณครึ่งหนึ่งทำแท้งหรือแท้งเอง ที่เหลือปล่อยให้ตั้งครรภ์ ซึ่งมีจำนวนมากจนน่าใจหาย จาก 20 ปีก่อนที่ตัวเลขไม่ถึงร้อยละ 10 กลายมาเป็นมากกว่าร้อยละ 20 เท่านั้นยังไม่พอ ส่วนหนึ่งอายุต่ำกว่า 15 ปี เด็กหญิงอายุต่ำสุดที่ได้เป็นคุณแม่ คือย่างเข้า 12 ปี
          โครงการติดตามสภาวการณ์เด็กส่งท้ายปี พ.ศ.2551 พบแม่วัยโจ๋อายุต่ำกว่า 19 ปี คลอดลูกเกือบ 8 หมื่นคน ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นประเทศชั้นนำของเอเชียที่มีเด็กวัยรุ่นตั้งครรภ์และ คลอดจำนวนสูงสุด
          ข้อมูลที่น่าตกใจเหล่านี้บอกได้ว่า เด็กไทยมั่วเซ็กซ์หรือสำส่อนอย่างน่าใจหาย
          การมีลูกที่ไม่พร้อมของเด็กวัยรุ่น ไม่ได้เป็นปัญหากับแม่และเด็ก เช่น คลอดก่อนกำหนด เด็กทารกน้ำหนักตัวน้อย ขาดอาหาร ขาดออกซิเจน มารดามีภาวะแทรกซ้อน เช่น ครรภ์เป็นพิษ น้ำเดินทางก่อนกำหนด ตกเลือดก่อนคลอด ตกเลือดหลังคลอด ติดเชื้อ มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิต ฯลฯ เท่านั้น
          แต่เป็นปัญหาที่กระเทือนทั่วสังคม
          ชายหญิงวัยรุ่นหลายคู่มีปัญหาขึ้นโรงขึ้นศาล ตามมาด้วยฝ่ายชายเข้าคุกข้อหาตกลงกันไม่ได้
          ฝ่ายชายบางรายพ่อแม่หยิบยืมเงินมาให้ฝ่ายหญิง เกิดปัญหาทางจิตใจ ความเครียดของทุกคนที่เกี่ยวข้อง ตามมาด้วยปัญหาการเล่าเรียน
          ฝ่ายหญิงหรือสองฝ่าย ต้องเลิกเรียนเพราะอายเพื่อน ขาดเงินทอง ไม่มีคนเลี้ยงลูก เกิดปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ
          ยิ่งมองไกลไปถึงอนาคต พ่อแม่ยังสอนตนเองให้รับผิดชอบตนเองไม่ได้แล้วจะสอนลูกที่เกิดมาให้รับผิด ชอบตนเองได้อย่างไร หากไม่อาจรับผิดชอบตนเองซึ่งเป็นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนต้องมี จะก้าวข้ามไปรับผิดชอบชุมชน สังคม ประเทศชาติได้อย่างไร?
          ปัญหาเด็กไทยมั่วเซ็กซ์จึงประดุจภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ให้เห็น ภายใต้ภูเขาน้ำแข็งซึ่งอยู่ใต้น้ำอันมหึมาสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยทั้งระบบ กำลังล้มเหลวหรือเดินไปในแนวทางที่ผิด การแก้ไขจึงไม่ใช่แก้ที่ตัวเด็กแต่อย่างเดียว และไม่ใช่หน้าที่ของครอบครัวและครูบาอาจารย์เท่านั้น แต่ต้องเป็นสหประสาน นั่นคือเป็นหน้าที่ของหลายฝ่ายต้องช่วยกันรับผิดชอบ
          1.รัฐบาล ว่ากันว่าที่เด็กวัยรุ่นมั่วเซ็กซ์เพราะเด็กไม่มีวิธีหาความสุขทางกายใจวิธี อื่นรัฐบาลต้องเห็นความสำคัญและมีแนวปฏิบัติชัดเจน สร้างค่านิยมการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายพอเพียงสามารถสร้างความสุขทางใจโดยไม่ ต้องใช้ชีวิตที่ฟุ่งเฟ้อ ลดการบูชาวัตถุนิยม ฟื้นฟูการดำเนินชีวิตตามขนมธรรมเนียมประเพณีไทย สนับสนุนหน่วยงานต่างๆ ให้ช่วยแก้ไขปัญหาวัยรุ่นมั่วเซ็กซ์
          2.กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีนโยบาย มีการปฏิบัติ มีบทลงโทษ อย่างเข้มงวด มีการติดตามสรุปผล เพื่อป้องกันเด็กมั่วเซ็กซ์ เช่น การจำหน่ายแอลกอฮอล์แก่เด็กวัยรุ่น การเข้มงวดจำกัดอายุในสถานบันเทิงเริงรมย์ ดูแลการมั่วสุมของเด็ก ดูแลสื่อในเรื่องเซ็กซ์ ไม่สนับสนุนการนุ่งน้อยห่มน้อยว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ไม่ว่าของดารา นางแบบ ไคโยตี้ ฯลฯ มีบทลงโทษทางกฎหมายหรือสังคมของผู้ใหญ่ที่มั่วเซ็กซ์
          3.ชุมชน, สังคม, และ หน่วยงานต่างๆ ต้องมีหน้าที่ดูแลเด็กวัยรุ่น สอดส่องการพลอดรักในที่สาธารณะ สนับสนุนให้สนใจสิ่งอื่นๆ รอบตัว มีวิธีสร้างความสุขในใจที่ยั่งยืน เช่น นั่งสมาธิ, การเรียนรู้ธรรมะ, ปรัชญาชีวิต, เล่นกีฬา, การเต้นการแสดงต่างๆ, การออกกำลังกาย, การอ่าน, การเขียน, การวาด, การปั้น, งาน อดิเรกต่างๆ ความสามารถพิเศษต่างๆ
          4.โรงเรียนมีบุคลากรที่ตั้งใจสอนเพศศึกษาให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย มีหลักสูตรที่ทันเหตุการณ์ครูมีเจตคติที่ดีในการแก้ปัญหา ดูแลนักเรียนในกลุ่มเสี่ยง ประสานงานกับครอบครัวอย่างใกล้ชิด
          5.สื่อมวลชนทุกแขนง ต้องช่วยแก้ปัญหา ไม่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาหรือปากว่าตาขยิบสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เรื่อง เพศศึกษา ประชาสัมพันธ์ค่านิยมที่ดี มีตัวอย่างทั้งด้านดีและไม่ดีให้วัยรุ่นเห็น ดาราที่มั่วเซ็กซ์หรือมีพฤติกรรมที่เป็นตัวอย่างไม่ดี ไม่ควรสนับสนุน
          6.โรงพยาบาล นอกจากตั้งรับด้วยการดูแลการตั้งครรภ์และการคลอดในวัยรุ่นให้ปลอดภัยมี มาตรฐานแล้ว ควรใช้วิธีการเชิงรุกเข้าไปร่วมกับสถานศึกษาเพื่อสอนวิธีคุมกำเนิดให้กลุ่ม เสี่ยง รวมทั้งติดตาม ดูแลสภาพจิตใจ ให้คำปรึกษา แก้ไขปัญหาครอบครัว ป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นซ้ำ
          7.ประชาชนทุกคนที่ประสบเหตุการณ์หรือสงสัยว่าจะเกิดเหตุการณ์วัย รุ่นมั่วเซ็กซ์ต้องอย่าละเลย หากสามารถเตือนหรือสอนได้ควรทำ และ/หรือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และครอบครัว
          8.ครอบครัวต้องเป็นเสาหลักในการให้ความรักความอบอุ่นดูแลใกล้ชิด พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีไม่ประพฤติผิดทางกาม ให้ความรู้ทางเพศ สอนเด็กให้รู้จักคิด แยกแยะผิดถูก สามารถสร้างคุณค่าตน รู้จักรับผิดชอบตนเองและผู้อื่นหากเกิดปัญหา ช่วยแก้ปัญหา ไม่ซ้ำเติม
          9.เด็กวัยรุ่นต้องมีสติเห็นปัญหา มีการรวมกลุ่ม จัดกิจกรรมสร้างค่านิยมไม่มั่วเซ็กซ์ มีการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากเพื่อนสู่เพื่อน
          หากได้ช่วยกันคนละไม้คนละมือเป็นสหประสาน แม้แก้เด็กมั่วเซ็กซ์ไม่ได้ทั้งหมด แต่เชื่อแน่ว่าอย่างน้อยสังคมไทยก็ต้องไม่เลวร้ายไปกว่าเดิม


ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

เผยมีเพศสัมพันธ์เร็ว เสี่ยงมะเร็งปากมดลูก

อึ้ง!! หลังพบผู้ป่วยหญิงไทย อายุน้อยลงทุกปี

สมัยก่อนเชื่อกันว่า มะเร็งปากมดลูกจะเกิดขึ้นกับคนที่มีลูกมาก สำส่อน หรือมาจากกรรมพันธุ์ แต่ในปัจจุบันพบว่า มะเร็งปากมดลูกจะเกิดจากการติดเชื้อฮิวแมนแพปพิลโลมาไวรัส หรือเชื้อ HPV

          ซึ่งเกิดได้จากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้แก่ การมีคู่นอนหลายคน การมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุยังน้อย การไม่ใช้ถุงยางอนามัย การไม่ได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ฯลฯ

          ผู้ค้นพบเชื้อฮิวแมนแพปพิลโลมาไวรัส (Humain Papilloma Virus) หรือเชื้อไวรัส HPV ในมนุษย์ที่เป็น สาเหตุทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก คือ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ฮารัลด์ ซัวร์ เฮาเซ่น ชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ ประจำปี 2551 (Nobel Prize in Medicine 2008)

          จากการค้นพบดังกล่าวทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูก ต้อง โดยนำไปสู่การป้องกันและการรักษามะเร็งปากมดลูกที่ดีขึ้น จะสามารถช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูก และลดอัตราการตายจากโรคนี้ในผู้หญิงลงอย่างมาก  

          โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้นำไปสู่การคิดค้นวัคซีน ป้องกันมะเร็งปากมดลูกในเวลาต่อมา และเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ ฮารัลด์ ซัวร์ เฮาเซ่น ได้ร่วมบรรยาย  “Nobel Lecture: Discovery of human pa  pilloma viruses causing cervical cancer” การค้นพบไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูก พร้อมให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโครงการวิจัยมะเร็งปากมดลูกของศูนย์วิจัยศึกษา และบำบัดโรคมะเร็ง สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์

          เชื้อไวรัส HPV มีอยู่มากมายหลากหลายสาย พันธุ์ จะมีอยู่ในอวัยวะสืบพันธุ์ ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ซึ่งจะมีบางสายพันธุ์เท่านั้นที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเมื่อติดเชื้อ HPV แล้ว 80% จะหายไปเองเหลือแค่ 10% เท่านั้นที่จะติดอยู่ที่ปากมดลูก

          และเมื่อมีการติดเชื้อนาน ๆ จะทำให้เนื้อเยื่อหรือเซลล์ของปากมดลูกผิดปกติ มีการเปลี่ยนแปลงในระดับเซลล์จนกลายเป็นมะเร็งในที่สุด ซึ่งหากมีเพศสัมพันธ์เร็วก็จะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย จึงพบผู้หญิงไทยเป็นมะเร็งปากมดลูกในอายุที่น้อยลงทุกปี

          โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับ การมีเพศสัมพันธ์ ส่วนใหญ่จะพบมากในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยพบประมาณร้อยละ 80 ของประชากรทั่วโลก และเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูงถึงร้อยละ 50

          ปัจจุบันมะเร็งปากมดลูก จัดเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 ในประเทศไทย โดยอยู่ในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 20 ต่อประชากร 1 แสนคนต่อปี ชนิดที่พบบ่อยที่สุดคือ ชนิด Squamous cell carcinoma ซึ่งเป็นเซลล์ในกลุ่มเยื่อบุปากมดลูกด้านนอก พบได้ประมาณ 80%

          มะเร็งปากมดลูกเป็น โรคที่ป้องกันได้เช่นเดียวกับมะเร็งชนิดอื่นๆ การคัดกรองมะเร็งก็จะมีประสิทธิภาพมากกว่ามะเร็งชนิดอื่นๆ โดยการป้องกันจะต้องเริ่มตั้งแต่การป้องกันแบบปฐมภูมิ เป็นการป้องกันโดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

          หรือหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งปาก มดลูก ได้แก่ การหลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน การหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย การคุมกำเนิดโดยการใช้ถุงยางอนามัย และการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV ในคน ที่ไม่เคยติดเชื้อในสายพันธุ์ที่มีในวัคซีนมาก่อน

          ซึ่งการฉีดวัคซีนนี้จะได้ผลดีในกลุ่มอายุ 9 - 26 ปี และควรฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก แต่ก็ยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร เนื่องจากวัคซีนมีราคาค่อนข้างแพง

          ส่วนการป้องกันแบบทุติยภูมิ คือการค้นหามะเร็งในระยะเริ่มแรก ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูกก่อนที่เซลล์ผิดปกติจะ เปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็ง โดยการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก สามารถทำได้โดยการตรวจภายใน

          ซึ่งแพทย์จะทำการเก็บตัวอย่างมูกบริเวณรอบ ๆ ปากมดลูก โดยจะมีเซลล์ปากมดลูกปะปนออกมากับมูกนั้น และเอาไปตรวจทางกล้องจุลทรรศน์ ที่เรียกว่า การตรวจทางเซลล์วิทยา ดูความผิดปกติของเซลล์ เป็นกระบวนการคัดกรองที่เรียกว่า Conventional Pap smear หรือ Liquid-based cytology

          หากตรวจพบระยะแรก ๆ ก็จะช่วยให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น และหากตรวจพบเป็นมะเร็งปากมดลูกแล้ว ก็จะมีการป้องกันแบบตติยภูมิ คือ การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งให้มีอายุที่ยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

          จะเห็นได้ว่า ผู้หญิงที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทุกคน จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ โดยจะมีการสะสมมากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละคน ซึ่งการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้สูง เพราะเชื้อไวรัส HPV จะ สะสมอยู่ในร่างกายตั้งแต่การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก

          ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันมะเร็งปากมดลูก คือการรณรงค์ให้ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ทุกคนมีการตรวจคัดกรองมะเร็งปาก มดลูกทุกๆ ปี


ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

'ยาลดความอ้วน' สารอันตรายถึงชีวิต

ไม่มีประโยชน์ แถมให้โทษ
  
          พิษ ภัย'ยาลดความอ้วน' นั้นยังมีให้เห็นต่อเนื่อง ในสังคมไทยเช่น โศกนาฏกรรมล่าสุดที่เกิดขึ้นกับน.ส.โชติมา จินตนาผลอายุ 16 ปี นักเรียนโรงเรียนวัดราชาธิวาส ซึ่งสั่งซื้อยาลดความอ้วนPAODY Slim Capsule กับ L-Carnitine Plus มา รับประทานโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ความจริงจะเรียกผลิตภัณฑ์เหล่านี้ว่า 'ยา' คงไม่ได้

          เพราะควรเรียกว่า 'สารลดความอ้วนซึ่งเป็นอันตรายต่อ สุขภาพ' จะตรงประเด็นกว่า น่าวิตกที่ภายหลังจากข่าวการเสียชีวิตของน.ส.โชติมา เผยแพร่ไปทั่วประเทศ แต่สารลดความอ้วนทั้งสองชนิด ก็ยังขายโจ่งแจ้งในอินเตอร์เน็ตนับหมื่นเว็บไซต์

          สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ข้อมูลไว้ว่า ตามปกติแพทย์จะสั่งจ่ายยาลดความอ้วนในกรณีผู้ป่วยเป็น'โรคอ้วน'พร้อมกับติดตามผลอย่างใกล้ชิดเนื่องจากยาลดความอ้วนอาจจะส่งผล กระทบต่อร่างกายถึงขั้นเสียชีวิต

          วิธีการลดความอ้วนไม่ใช่แค่พึ่งยาอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่กัน

          นอกจากนั้น สารประกอบในยาลดความอ้วนยังเพิ่มความเสี่ยงส่งผลให้ ผู้ป่วยโรคหัวใจ หลอดเลือด เบาหวาน ความดัน อาการทรุดหนักลงได้

          ที่สำคัญ เด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี หรือสตรีมีครรภ์ ห้ามใช้ยาดังกล่าวโดยเด็ดขาด

          โดยทั่วไปยาลดน้ำหนักแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ แยกตามตำแหน่งการออกฤทธิ์ของยา คือ

          1. ยากลุ่มออกฤทธิ์ที่สมอง ส่งผลต่อศูนย์ควบคุมการรับประทานอาหาร โดยไปกดไว้จนไม่อยากอาหาร

          2. ยาออกฤทธิ์ต่อส่วนนอกสมอง ทำให้ระบบลำไส้ยับยั้งการดูดซึมของสารอาหารอาการผิดปกติที่พบบ่อย หลังจากทานสารลดความอ้วนเข้าไปอาทิ

          กระวนกระวาย ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง เหงื่อออก คลื่นไส้ ท้องผูก ไปจนถึงตื่นเต้นเกินเหตุ ม่านตาขยาย ประสาทหลอน

          เมื่อใช้ไประยะหนึ่งจะเกิดอาการ'เสพติด' ในบางกรณีที่อาการร้ายแรงจะเจ็บหน้าอกเฉียบพลัน ระบบการไหลเวียนของเลือดล้มเหลว ชัก โคม่า และเสียชีวิตในที่สุด

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด