10โรคประหลาด ที่ไม่น่าเป็นที่สุดในโลก

โลกเรายังมีโรคแปลกๆ ที่ยังรักษาไม่หายอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่แพทย์ยังไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ซึ่ง 10 โรคต่อไปนี้เราอาจจะเคยได้ยิน หรือเห็นคนเป็นโรคมาบ้าง แต่บางโรคก็ไม่เคยได้ยินเลย และเพิ่งจะรู้ว่ามีโรคนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ

1 .โรคค็อดทาร์ดหรือโรคศพเดิน (Walking Corpse Syndrome)เป็นหนึ่งในโรคทางจิต ตั้งชื่อตามนายแพทย์จูลส์ ค็อดทาร์ด แพทย์ด้านสมองชาวฝรั่งเศส ที่พบว่าผู้ป่วยคนหนึ่งของเขาเป็นโรคนี้ นายแพทย์ค็อดทาร์ดกล่าวถึงผู้ป่วยที่เขารักษาว่า "เธอไม่เชื่อว่าเธอมีอวัยวะ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องกินอาหาร"ผู้ป่วยมีความเชื่อว่าสูญเสียอวัยวะสำคัญ แม้กระทั่งสูญเสียวิญญาณ ผู้ที่เป็นมากๆ จะเชื่อว่าตนตายไปแล้ว ทั้งยังได้กลิ่นเหม็นเน่าจากเนื้อของตัวเอง รู้สึกว่าเหมือนหนอนกำลังกัดกินเนื้อ บางคนเชื่อว่าตัวเองไม่มีกระเพาะ จึงไม่กินอาหาร เป็นไปได้ว่าผู้ที่เป็นโรคเสพยาบ้า โคเคน มากเกินไป และอาจเกี่ยวข้องกับโรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน

2.โรคแวมไพร์ซินโดรม ได้ชื่อว่าแวมไพร์ต้องนึกถึงผีค้างคาวดูดเลือด ที่ออกอาละวาดในยามราตรี แต่กลัวแสงสว่างเป็นที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้ก็เช่นกัน คือกลัวแสงสว่าง เพราะเมื่อถูกแสงแดดแล้วจะเจ็บปวดอย่างมหาศาล ผิวแห้งแตกเป็นขุย มีรอยไหม้

3. โรคจัมพิ่ง เฟรนช์แมน ออฟ เมน (Jumping Frenchman of Maine Disorder) เป็นโรคที่นายแพทย์จอร์จ มิลเลอร์ เบียร์ด อธิบายไว้เป็นคนแรก เมื่อค.ศ.1878 คาดว่าผู้ป่วยที่เขาพบนั้นเป็นชายชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ผู้ป่วยจะเกิดอาการเมื่อถูกกระตุ้น เช่น ถ้าตะโกนดังๆ ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ป่วยก็จะทำตามนั้น เช่น มีผู้ตะโกนว่า "ตบหน้าเมีย" ก็จะกระโดดเข้าไปตบหน้าภรรยาของตนเองทันที หรือถ้าได้ยินประโยคแปลกๆ ประโยคที่เป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะพูดประโยคนั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

4.โรคเส้นบลาชโค (Blaschko"s lines) ผู้เป็นโรคจะลายริ้วๆ ไปทั้งตัว นับเป็นโรคหายากอีกโรคหนึ่ง ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักกายวิภาค ผู้ที่กล่าวถึงโรคนี้เป็นครั้งแรกคือนายแพทย์อัลเฟรด บลาชโค แพทย์ด้านผิวหนังชาวเยอรมัน ที่กล่าวถึงอาการของผู้เป็นโรคเมื่อค.ศ.1901 บริเวณกระดูกสันหลังจะเป็นเส้นรูปตัว V บริเวณหน้าอก ท้อง และข้างลำตัวจะเป็นเส้นรูปตัว S

5.โรคพิคา หรือโรคที่กินวัตถุที่ไม่สามารถบริโภคได้ ผู้ที่เป็นโรคจะมีความอยากกินวัตถุที่ไม่ใช่อาหารมาก เช่น ดิน กระดาษ กาว โคลน ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีวิธีรักษา แต่เป็นไปได้ว่าร่างกายขาดแร่ธาตุบางอย่าง

6.โรคอลิซในแดนมหัศจรรย์ หรือ "ไมครอพเซีย" เกิดจากความผิดปกติของสมอง ที่แปรสัญญาณไปยังสายตาผู้ป่วยให้มองทุกอย่างเล็กจากความเป็นจริง ทั้งที่สายตาของผู้ป่วยไม่มีความผิดปกติใดๆ เช่น มองสุนัขที่เลี้ยงไว้ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่าหนู รถยนต์คันใหญ่ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่ากับรถเด็กเล่น

7.โรคบลูสกิน หรือ "โรคผิวสีน้ำเงิน" ผู้เป็นโรคจะมีร่างกายเป็นสีน้ำเงิน ที่สหรัฐเมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ครอบครัวของนายมาร์ติน ฟูเกต เด็กกำพร้าชาวฝรั่งเศส และเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณลำธารทร็อบเบิ้ลซัมครีก รัฐเคนตั๊กกี้ เมื่อค.ศ.1820 เป็นโรคนี้กันอย่างถ้วนหน้า เริ่มจากที่นายฟูเกตเองที่เป็นโรคอยู่แล้ว เมื่อเขาสมรสกับหญิงปกติ ลูก 4 ใน 7 คนเป็นโรคสีน้ำเงินเหมือนพ่อ ลูกหลานที่มาจากเชื้อสายนี้อีก 6 ชั่วคนยังเป็นโรคนี้ด้วย โดยหนูน้อยเบนจามิน สเตซี่ ที่มีเชื้อสายฟูเกต เป็นคนในตระกูลล่าสุดที่เป็นโรค โชคดีที่เด็กชายไม่เป็นมาก เพียงไม่นานหลังจากเกิดก็หาย ปัจจุบันเด็กชายอายุ 8 ขวบ

8.โรคเวอร์วูล์ฟซินโดรม ผู้ป่วยจะมีขนยาวรุงรังตามหน้าตา แขนขา ทุกส่วนของร่างกาย คาดว่าปัจจุบันมีผู้เป็นโรคประมาณ 50 คนจากทั่วโลก เช่น เด็กชายปรัชวิราช พาทิล ชาวอินเดีย ที่ต้องเจ็บปวดจากการล้อเลียนของเพื่อนๆ และสังคม ซึ่งครอบครัวพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือ ทั้งใช้เลเซอร์แบบแพทย์แผนปัจจุบัน ไปจนถึงการรักษาแบบทางเลือก อายุรเวช

9.โรคมือเท้าช้างหรือ "เอเลแฟนต์เทียซิส" เป็นโรคที่พบเห็นกันค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มียุง เนื่องจากยุงเป็นพาหะของโรค โดยจะแพร่หนอนปรสิตวูชีเรเรียแบนครอฟตี หนอนปรสิตบรูเจียมาลายี หนอนปรสิตบี.ทิโมลี มายังคน ทำให้ไข่ของหนอนปรสิตเข้ามาในกระแสเลือดและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย มันอาจใช้เวลาฟักตัวนานหลายปี

ที่เว็บไซต์ของโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนระบุว่า โรคมือเท้าช้างเป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้ายอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรค อาการที่เห็นได้ชัดคือ ขา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง

โรคเท้าช้างในประเทศไทยมี 2 ชนิด ชนิดแรกเกิดจากเชื้อบรูเจียมาลายี มักมีอาการแขนขาโต พบมากในบริเวณที่ราบทางฝั่งตะวันออกของภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงนราธิวาส โดยมี "ยุงลายเสือ" เป็นพาหะ ยุงชนิดนี้กัดกินเลือดของสัตว์และคน ชอบออกหากินเวลากลางคืน มีแหล่งเพาะพันธุ์ตามแอ่งหรือหนองน้ำที่มีวัชพืชและพืชน้ำต่างๆ เช่น จอก ผักตบชวา แพงพวยน้ำ หรือหญ้าปล้อง

ชนิดที่สองเกิดจากเชื้อวูชีเรเรียแบนครอฟตี มักทำให้เกิดอาการบวมโตของอวัยวะสืบพันธุ์และแขนขา พบมากในบริเวณภาคตะวันตกของประเทศไทย เช่น ที่อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อำเภอละอุ่น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เป็นต้น ยุงพาหะนำโรคเท้าช้างชนิดนี้ได้แก่ "ยุงลายป่า" เพาะพันธุ์ตามป่าไผ่ ในโพรงไม้ และกระบอกไม้ไผ่ ปัจจุบันพบว่าเชื้อโรคเท้าช้างชนิดวูชีเรเรียแบนครอฟตี สายพันธุ์ที่นำเข้าโดยผู้อพยพจากชายแดนไทย-พม่า มียุงพาหะหลายชนิดรวมทั้งยุงรำคาญ ซึ่งเป็นยุงบ้านที่พบได้ทั่วไป

คนที่มีอาการมักจะเกิดจากการที่ถูกยุงที่มีเชื้อพยาธิเท้าช้างกัดซ้ำหลายครั้ง อาการในระยะแรก ผู้ป่วยอาจมีไข้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมและท่อน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรืออัณฑะ เนื่องจากพยาธิตัวแก่ที่อยู่ในท่อน้ำเหลืองสร้างความระคายเคืองแก่เนื้อเยื่อภายใน รวมทั้งมีการปล่อยสารพิษออกมาด้วย อาการอักเสบจะเป็นๆ หายๆ อยู่เช่นนี้ และจะกระตุ้นให้เกิดอาการบวมขึ้น หากเป็นนานหลายปีจะทำให้อวัยวะนั้นบวมโตอย่างถาวรและผิวหนังหนาแข็งขึ้นจนมีลักษณะขรุขระ

10.โรคโพรจีเรีย หรือ "โรคแก่ก่อนวัยอันควร" เป็นโรคที่เกิดจากรหัสทางพันธุกรรมตัวหนึ่งบกพร่อง ทำให้ผู้ป่วยมีรูปร่างหน้าตาแก่กว่าอายุจริงมาก ส่วนใหญ่แล้วเด็กจะอายุสั้น คือไม่เกิน 13 ปี มักเสียชีวิตจากสาเหตุหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย อาการของผู้เป็นโรคคือ หัวล้าน กระดูกบาง มีรูปร่างเตี้ยแคระ มักเจ็บปวดตามข้อ แต่เมื่อแรกเกิดแล้วจะดูเหมือนกับเด็กปกติ

อันตราย! ดื่มน้ำเกินพิกัด

ควรดื่มวันละ 8-10 แก้ว หรือประมาณ 1,200 ซีซี

นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข 9 กรมอนามัย ในฐานะโฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 2 ถูกรุ่นพี่ทำโทษโดยให้ดื่มน้ำจนจุกแน่นหมดสติ ต่อมาเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว ว่า

ร่างกายประกอบด้วยน้ำร้อยละ 70

ถือว่าน้ำเป็นสารอาหารจำเป็นสำหรับร่างกายร่วมกับอาหารทั้ง 5 หมู่ ร่างกายควรได้รับน้ำสะอาดวันละ 1,200 ซีซี หรือ 8-10 แก้ว หากดื่มน้ำน้อยกว่านี้ อาจเกิดภาวะสูญเสียน้ำถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้น ร่างกายต้องได้รับน้ำอย่างเหมาะสม โดยน้ำต้มสุกมีความสะอาดที่สุด ส่วนน้ำดื่มบรรจุขวดควรเลือกที่มีตรา อย.

ด้าน รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล

สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ร่างกายได้รับน้ำปริมาณมากในเวลารวดเร็วทำให้เกิดภาวะน้ำเกินหรือน้ำเป็นพิษ เนื่องจากทำให้น้ำในเซลล์และนอกเซลล์ขาดความสมดุลกัน ส่งผลให้น้ำในเลือดสูง ความเข้มข้นของเลือดลดลง

ทำให้ร่างกายต้องปรับระบบให้สมดุล

โดยขับแร่ธาตุโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับความสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ อาการเตือนเมื่อเกิดภาวะแร่ธาตุโปแตสเซียมไม่สมดุลคือ เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง อ่อนหมดแรง ถ้าเกิดการเกร็งในสมอง ปอด หัวใจ ทำให้ระบบทางเดินหายใจ

รศ.ดร.ประไพศรี กล่าว

“ปริมาณน้ำมาก ๆ ที่ร่างกายรับเข้าไปจนเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ บอกชัดเจนไม่ได้ ถ้าคนดื่มน้ำเองสมองจะบอกว่า อิ่มแล้ว เริ่มจุก แต่การบังคับให้ดื่มน้ำ ถ้าเริ่มอ่อนเพลีย เกร็ง ถ้าหยุดรับน้ำเพิ่ม ร่างกายจะขับน้ำออก การดื่มมาก ๆ แต่ช้า ๆ ไม่เป็นอันตราย ไตขับน้ำออกทางปัสสาวะได้

ถ้าโหมใส่เข้าไปมาก ๆ เกินร้อยละ 10

ของปริมาณที่ร่างกายได้รับปกติมีโอกาสเกิดได้ แต่ว่าพบได้น้อยมากที่ดื่มน้ำมาก ๆ เร็ว ๆ แล้วเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ” รศ.ดร.ประไพศรี กล่าวและว่า ภาวะน้ำเป็นพิษ มีอาการเตือนคือ กล้ามเนื้อเกร็ง ตะคริว ส่วนภาวะแห้งน้ำหรือร่างกายขาดน้ำนั้น เป็นภาวะที่โปแตสเซี่ยมออกจากเซลล์พบได้บ่อยในผู้สูงอายุที่ไม่ค่อยดื่มน้ำ

ลิ้นบอกสุขภาพ

ลองเอากระจกขึ้นมาแล้วแลบลิ้นออกมาดู คุณจะสามารถรู้เกี่ยวกับสุขภาพของคุณได้มากมาย โดยดูสีของลิ้น และความหมายของมัน

ลิ้นสีน้ำตาลอ่อน

คราบสีน้ำตาลอ่อนที่เกาะอยู่ที่ลิ้น ปกติจะมาจากคราบอาหารหลังจากรับประทาน จะมีคราบติดอยู่บนลิ้น ดังนั้นควรแปรงลิ้นหลังรับประทานอาหาร และควรดื่มน้ำเยอะ เพราะน้ำช่วยให้มีน้ำลาย ซึ่งจะช่วยรักษาความสะอาดในปากได้

ลิ้นเป็นสีชมพูอ่อน/ขาว

ลิ้นบางคนจะมีสีขาวซีด คราบสีขาวบนลิ้นจะมีปัญหาเมื่อมันลอกและมีเลือดออก ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นแสดงว่าคุณติดเชื้อรา ต้องไปให้แพทย์รักษา

ลิ้นมีสีชมพูอ่อนแก่สลับกัน

เป็นจุดเล็กๆ ที่มีลักษณะเหมือนสิว บ่อยครั้งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งจะหายเองภายใน 1 สัปดาห์ แต่ถ้าจุดนั้นขยายใหญ่ แปลแตกออกมาและไม่หายนานกว่า 2 อาทิตย์ คุณต้องไปหาหมอ เพราะมันอาจเป็นสัญญาณบอกว่าคุณอาจเป็นมะเร็งที่ลิ้นได้

ลิ้นสีดำหรือน้ำตาลเข้ม

เป็นอาการที่พบได้น้อยมาก จะมีลักษณะมีคราบขุยสีดำจับอยู่ ซึ่งเชื่อว่าเป้นคราบสกปรกที่ไม่ยอมหลุดออกไป คุณควรจะแปรงลิ้นเป็นประจำ ถ้าจำเป็นก็ควรใช้ช้อนหรือที่ขูดลิ้น ขูดเอาคราบออกบ้าง และควรลดชา กาแฟ และบุหรี่ เพราะทั้ง 3 อย่างนี้ทำให้ลิ้นเป็นคราบมากยิ่งขึ้น

วันนี้คุณดื่ม 'น้ำเปล่า' แล้วหรือยัง?

นักโภชนาการส่วนใหญ่ต่างลงความเห็นว่า ปัจจุบันคนเมืองกว่า 80% อยู่ในภาวะขาดน้ำ (Dehydrated) เรามักดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม เมื่อยามกระหายน้ำ

โดยหารู้ไม่ว่าสารกาเฟอีนในเครื่องดื่มเหล่านี้กระตุ้นให้ร่างกายขับน้ำ และยิ่งทำให้เรากระหายน้ำยิ่งขึ้นไปอีก จำไว้ว่าในยามที่รู้สึกกระหายน้ำเครื่องดื่มที่ดีที่สุดที่เราควรบริโภค คือ “น้ำเปล่า” เท่านั้น

น้ำมีความสำคัญต่อกระบวนการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการดูดซึมวิตามินและสารอาหาร ระบบกำจัดสารพิษของตับและไต ระบบย่อยอาหาร หากร่างกายขาดน้ำไม่ว่าเราจะรับประทานอาหารกลุ่มไฟเบอร์มากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ เพราะลำพังเส้นใยไฟเบอร์ก็ไม่สามารถนำพาของเสียออกจากร่างกายได้ดีหากปราศจากน้ำเป็นตัวหล่อลื่น

นอกจากนี้ ภาวะเลือดข้นที่เกิดขึ้นในยามที่ร่างกายขาดน้ำ จะยิ่งทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อขับเคลื่อนให้เลือดไหลเวียนได้ตามปกติ และผลที่จะตามมาก็คือ สมองจะช้าลง ไม่ตื่นตัว ไม่มีสมาธิ เหนื่อยเมื่อยล้าหมดแรง

คุณรู้หรือไม่ว่า?

*คุณสามารถอยู่ได้โดยปราศจากอาหารถึง 40 วัน แต่หากขาดน้ำเพียงแค่ 3 วัน ยมบาลถามหาแน่

*ร่างกายสามารถสูญเสียน้ำตาล แป้ง โปรตีน ได้ถึง 50% ได้สบายๆ แต่หากสูญเสียน้ำเพียงแค่ 20% คุณจะแห้งตายเพราะขาดน้ำ

*เหตุผลที่เราจำเป็นต้องดื่มน้ำให้ได้ถึงวันละ 68 แก้ว หรือมากกว่านั้น เพราะว่าในแต่ละวันร่างกายต้องการใช้น้ำสำหรับกระบวนการทำงานของปอด 2 แก้ว สำหรับลำไส้และไต 6 แก้ว สำหรับผิวหนัง 2 แก้ว รวมแล้วประมาณ 10 แก้ว ซึ่งยังไม่รวมถึงการเสียเหงื่อจากการออกกำลังกายด้วยซ้ำ แต่ร่างกายสามารถรับน้ำจากอาหารเพียงแค่ 3 แก้วครึ่ง จากกระบวนการเผาผลาญประมาณครึ่งแก้ว ดังนั้นคุณยังขาดน้ำอีก 68 แก้ว ทั้งนี้เพียงเพื่อให้ระบบต่างๆ ยังสามารถทำงานไปได้ตามปกติ

*เครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยสารอาหารอย่างเช่น นม น้ำมะเขือเทศเข้มข้น จัดอยู่ในกลุ่มอาหารมากกว่าเครื่องดื่ม เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้กระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการอยากน้ำยิ่งขึ้น

*ปริมาณน้ำที่ลดจากร่างกายประมาณ 45% มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลงถึง 2030%

เคล็ด ‘ไม่’ ลับ

ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากที่ต้องพยายามดื่มน้ำให้ครบตามจำนวนแก้ว แต่คุณเองก็ต้องไม่ลืมนึกถึงผลที่จะตามมาหากร่างกายขาดน้ำแค่เพียงน้อยนิด ลองทำตามเคล็ดลับง่ายๆ ที่เรานำมาแบ่งปันเผื่อจะเป็นตัวช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

1.ทุกๆ เช้าเมื่อตื่นลืมตาคุณมักจะกระหายน้ำ สิ่งแรกที่ควรทำคือให้คุณคว้าแก้วแล้วเติมน้ำเปล่าดื่มเฮือกเดียวให้หมดสัก 1 แก้ว เพราะน้ำเปล่าแก้วนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกายแล้วยังจะช่วยขับเอาของเสียและสารพิษที่ร่างกายทำงานกลั่นกรองมาทั้งคืนให้ออกจากร่างกายอีกด้วย ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

2.หากรู้สึกหนาวให้พยายามดื่มน้ำอุ่นก่อนที่จะนึกถึงชากาแฟ

3.กรุณาอย่าดื่มเมื่อรู้สึกกระหายให้ดื่มเมื่อนึกขึ้นได้ เพราะหากรอจนถึงกระหายนั่นแปลว่าร่างกายคุณขาดน้ำแล้ว

4.ลองกำหนดตัวเองโดยการตั้งเวลาให้ดื่มน้ำทุกๆ ชั่วโมง และต้องไม่ลืมที่จะหาขวดน้ำวางไว้ใกล้ตัวด้วย

5.เมื่อไรก็ตามที่คุณดื่มชากาแฟ จงจำไว้เสมอว่าคุณจะต้องดื่มน้ำเปล่าเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นการชดเชยน้ำในร่างกายที่คุณกำลังจะสูญเสียจากการดื่มเครื่องดื่มกาเฟอีน

6.และสุดท้าย ขอให้คุณย้อนกลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นจนเข้าใจว่า น้ำเปล่ามีความสำคัญกับชีวิตและร่างกายของคุณมากแค่ไหน และให้คำนวณต่อว่าวันนี้คุณต้องดื่มน้ำอีกกี่แก้วถึงจะครบตามจำนวน และจากนั้นคงไม่ต้องบอกนะคะว่าคุณควรทำอย่างไรต่อ

ร่างกายของเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบในปริมาณถึง 2 ใน 3

เลือดประกอบด้วยน้ำ 83%
กล้ามเนื้อประกอบด้วยน้ำ 75%
สมองประกอบด้วยน้ำ 74%
กระดูกประกอบด้วยน้ำ 22%

สิ่งที่ไม่ควรทานขณะท้องว่าง

อาหารบางชนิดไม่ควรทานขณะท้องว่างเพราะอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ วันนี้เรามีอาหารที่ไม่ควรทานขณะท้องว่างมาบอก...

- กล้วย

เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง

- ผัก

การทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ

- นมและนมถั่วเหลือง

แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย ดังนั้นในขณะที่ท้องว่างจึงไม่ควรทาน

- เหล้า

หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

- น้ำตาลหรืออาหารหวาน

ไม่ควรทานอาหารหวาน หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

- ชา

ที่แก่เกินไปชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

- ลูกพลับ

ไม่ควรทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารรู้อย่างนี้แล้ว เลือกทานอาหารให้ถูกที่ถูกเวลาจะดีกว่า

เคล็ดลับการรับประทานอาหาร เพิ่มอกอึ๋ม

เรื่องนี้ได้มาจากการบรรยายของ เภสัชกรหญิงนันทวดี พิทยาพิบูลย์พงษ์ ผู้จัดการพัฒนาธุรกิจความงามและสุขภาพ บริษัท Venus aesthetic ศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาหน้าอก และให้บริการเกี่ยวกับการเพิ่มขนาดหน้าอก ซึ่งทำให้ทราบว่า การที่หน้าอกหย่อนไม่ได้รูปนั้น เกิดจากอิลาสตินคอลลาเจน (เนื้อเยื่อตรงฐานอกซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้หน้าอกมีความยืดหยุ่นและคงตัว) ไม่แข็งแรง และสาเหตุที่ไม่แข็งแรงนั้น ก็เพราะการรับประทานอาหารแบบทุโภชนาการ รวมถึงการอดอาหารลดน้ำหนักที่ไม่ถูกต้อง

ส่วนประกอบของร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าคือโปรตีนและไขมัน แต่อาหารที่ผู้หญิงนิยมรับประทานกันคือ ผักและผลไม้ ซึ่งเป็นส่วนของพลังงานทั้งสิ้น แต่ในความจริงแล้วร่างกายของเราต้องมีการสร้างซ่อมตลอดเวลา และวัตถุดิบในการสร้างซ่อมก็มาจากอาหารที่เราบริโภคเข้าไปสู่ร่างกาย ดังนั้น หากเราไม่รับประทานอาหารที่ร่างกายสามารถนำไปสร้างซ่อมได้ ร่างกายก็จะย่อยเนื้อเยื่อออกมาก่อนแล้วนำกลับไปใหม่ ทำให้ไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่ต้องซ่อมแซมได้ รวมทั้งการย่อยแบบนี้จะทำให้เนื้อเยื่อต่างๆหลวม รวมไปถึงเนื้อเยื่อตรงฐานหน้าอกด้วย และนี่คือคำตอบว่าทำไมหน้าอกของเราจึงหย่อนและไม่กระชับ สาเหตุก็เพราะเรารับประทานอาหารไม่ถูกสัดส่วนนี่เอง

คำแนะนำคือ หากต้องการให้หน้าอกของเรากระชับและตั้งขึ้น จะต้องเปลี่ยนวิธีการบริโภคอาหารเสียใหม่ คือรับประทานให้ครบถ้วน โดยเน้นโปรตีนให้เพียงพอ เพราะการรับประทานโปรตีนอย่างเพียงพอ จะทำให้ร่างกายมีวัตถุดิบในการสร้างซ่อมตัวเอง

สำหรับคนที่กลัวว่ารับประทานอาหารครบถ้วนแล้วจะอ้วน ก็ขออธิบายต่อว่า หมวดที่ทำให้อ้วนนั้นได้แก่ แป้งและน้ำตาล ทั้งสองอย่างนี้ใช้เวลาในการย่อยไม่เกิน 40 นาที เมื่อย่อยเสร็จแล้ว แป้งและน้ำตาล จะอยู่ในรูปกลูโคส ซึ่งเป็นพลังงานหลัก แต่ร่างกายก็ยังไม่สามารถนำไปใช้ได้ ต้องมีตัวพานั่นก็คืออินซูลิน เพราะอินซูลินจะพากลูโคสเข้าสู่เซลล์ของกล้ามเนื้อและเปลี่ยนกลูโคสให้เป็นพลังงาน ถ้าใช้ไม่หมดอินซูลินจะนำกลูโคสที่เหลือไปเปลี่ยนเป็นพลังงานไขมันต่ำ สะสมไว้ในชั้นของไขมัน เพราะฉะนั้นการรับประทานอาหารที่มีแป้ง ของหวาน ขนม จะเป็นการรับประทานที่สะสมไขมันอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยนำส่วนที่สะสมนี้ไปใช้ได้เลย โรคอ้วนจึงเกิดขึ้นกับเรา

วิธีที่จะนำไขมันสะสมออกมาใช้นั้น จะต้องมีโปรตีนเข้าไปช่วย เพราะหากโปรตีนไปปนอยู่กับแป้งและน้ำตาลจะทำให้การย่อยช้าลง เกิดการทยอยเข้าสู่กระแสเลือด อินซูลินจะถูกเรียกมาใช้อย่างช้าๆ ใช้แล้วก็หมดไป โอกาสที่จะนำกลูโคสไปสะสมในชั้นไขมันจะลดลง อีกทั้งโปรตีนจะเรียกฮอร์โมนที่ชื่อกลูคากอนออกมา กลูคากอนจะสามารถนำไขมันเก่ามาใช้เป็นพลังงานได้ด้วย แต่โปรตีนควรรับประทานคู่กับผักด้วย เพราะผักจะช่วยซับเอาไขมันส่วนเกินออกไป อีกทั้งไขมันก็เป็นสิ่งที่เราไม่ได้ต้องการ มากเกินไปด้วยวิธีรับประทานโปรตีนที่ถูกต้องนั้น ให้ใช้ฝ่ามือของตัวเองชี้วัด กล่าวคือ ในตอนเช้า ควรรับประทานโปรตีน ประมาณ ครึ่งฝ่ามือหรือ ไข่ 1 ลูก ตอนกลางวัน รับประทานโปรตีน 3/4 ของฝ่ามือ และในตอนเย็น รับประทานโปรตีนให้เท่ากับ 1 ฝ่ามือ เหตุที่ต้องรับประทานโปรตีนให้มากในช่วงเย็นนั้น เพราะ 70% ของร่างกายจะถูกซ่อมแซมขณะที่เรานอนหลับ ส่วนคนที่นอนน้อย อย่างเช่น นอนตอนตี 1 แต่รับประทานมื้อเย็นไปเมื่อเวลา 18.00 น. นั้น ปกติร่างกายของเราควรมีการเติมอาหารทุกๆ 4 ชั่วโมง ดังนั้น หากเกิดกรณีนี้ในช่วง สี่ทุ่ม ร่างกายของเราจะย่อยอาหารเรียบร้อยแล้ว ช่วงเวลานี้จึงควรทานอะไรเพิ่มเติมเข้าไปและขอแนะนำว่าให้เป็นเรื่องของโปรตีนเท่านั้น เช่น นมหรือน้ำเต้าหู้ เพราะจะได้นำไปเก็บเป็นวัตถุดิบในการสร้างซ่อมได้

การรับประทานให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง หน้าอกกระชับได้รูปมากขึ้นแล้ว หากต้องการทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นโดยการใช้ทรีตเม้นต์และนวัตกรรมจากสถาบันที่เชื่อถือได้ คุณก็จะประสบผลสำเร็จได้ไม่ยาก แต่ถ้าคิดว่าเพียงแค่ต้องการให้หน้าอกคงความกระชับได้รูป การรับประทานอาหารและออกกำลังกาย บริหารหน้าอก ใส่ชุดชั้นในอย่างถูกต้องก็คงจะเพียงพอแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะพอใจแค่ไหน แต่ถึงอย่างไร หากคุณเลือกในสิ่งที่มีคุณค่าให้กับตัวของคุณได้เองตั้งแต่วันนี้ คุณก็จะสวย สดใส มีชัยไปกว่าครึ่ง

สุขภาพใจ ทำนายสุขภาพกาย

สุขภาพใจ ทำนายสุขภาพกาย

พอขึ้นปีใหม่ ใครหลายคนมักจะชอบสืบเสาะหาหมอดีมาทำนายดวง นัยว่าถ้าดี ร้าย จะได้แก้เคล็ดกันทัน ขอเอาใจสาวๆ ทำนายดวงสุขภาพให้นักอ่าน ด้วยการตั้งตัวเป็นแม่หมอเฉพาะกิจ รับรองผลความแม่ยำ 99.99% เชียวล่ะ เพราะทั้งหมดนั้นคือข้อเท็จจริงจากผลงานวิจัยมากมายที่รายงานถึงความเกี่ยวโยงระหว่างลักษณะนิสัยต่างๆ กับแนวโน้มการเกิดโรค ปี 2009 นี้ คุณจะอายุยืน หรือเป็นโรคอะไรในปีนี้ เช็กด่วนจากนิสัยเสียส่วนตัว

นิสัยขี้ใจร้อน

อันตรายของคนที่มีนิสัยแบบนี้คือโรคแผลในกระเพาะอาหาร นักวิจัยจากอินสติติวท์ ออฟ ออกคิวเปชันนัล เฮลท์ของฟินแลนด์ ศึกษากลุ่มตัวอย่างกว่า 4,000 คน และพบว่า

+คนที่หุนหันพลันแล่นมีความเสี่ยงเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร สูงกว่าคนอื่นๆ 2.4 เท่า ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเกิดจากการที่ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดด้วยการผลิตกรดออกมามากกว่าปกติ และเป็นสาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหาร

+ มีปัญหาในการควบคุมการกินอาหาร นอกจากนั้นยังพบว่า นิสัยขี้โมโหเกี่ยวพันอาจทำให้มีพฤติกรรมการกินมาก หรือน้อยเกินปกติ จนทำให้ร่างกายขาดความสมดุลในการรับสารอาหาร เป็นสาเหตุของโรคอื่นๆ ตามมา

ขี้กังวล

+มีแนวโน้มเป็นความดันโลหิตสูงกว่าคนปกติสามเท่าการศึกษาของมหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นแอริโซนา ชี้ว่า สาเหตุอาจมาจากฮอร์โมนความเครียด

+ มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ขณะเดียวกัน ผู้หญิงที่ขี้กลัว เช่น กลัวความสูง จะส่งผลให้ร่างกายมีความดันโลหิตและการสะสมคลอเรสเตอรอลสูง ทำให้เสี่ยงต่อระบบหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจผิดปกติ

+ อาจตายในสิบปี ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาของมหาวิทยาลัยแอนต์เวิร์ป เบลเยียม ยังพบว่า 27% ของคนขี้กังวล ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตภายในช่วงเวลา 10 ปี ของการรับการบำบัดโรคหัวใจ ซึ่งสูงกว่าความเสี่ยงในเกณฑ์มาตรฐาน 7% ของคนทั่วไป

นิสัยก้าวร้าว

+ ระวังความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ คนที่ก้าวร้าวมักตอบสนองต่อความเครียดทั้งทางร่างกายจิตใจอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น ส่งผลเสียต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด งานวิจัยชิ้นหนึ่งจากสก็อตแลนด์ที่ระบุว่า อาการหลอดเลือดแข็งมักพบกับคนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว

+ ร่างกายฟื้นตัวช้า ความไม่เป็นมิตรยังสร้างแนวโน้มปัญหาสุขภาพรุนแรงหลายโรค ข้อเท็จจริงนี้สอดคล้องกับงานศึกษาอีกชิ้นจากสหรัฐอเมริกา ที่แสดงให้เห็นว่าคนที่มีนิสัยก้าวร้าวเสี่ยงต่ออาการอักเสบเรื้อรังทั่วร่างกาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคมากมาย เช่น โรคหัวใจ สาเหตุอาจเนื่องมาจากการมีโปรตีนในระบบภูมิคุ้มกันที่เชื่อมโยงกับการอักเสบมีสูงกว่าคนปกติ ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอยังเพิ่มเติมว่า คนที่ชอบกราดเกรี้ยวใช้เวลาเยียวยาบาดแผลนานกว่าปกิอีกด้วย

+ มีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้า งานวิจัยอีกชิ้นจากอเมริกาชี้ว่า คนก้าวร้าวมีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการซึมเศร้ารุนแรงจิตตก และมีโอกาสทำร้ายร่างกายตัวเอง หรือฆ่าตัวตายสูง

ขี้อาย

+ ติดเชื้อไวรัสง่าย งานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียระบุว่า คนขี้อายมีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัส โดยในการศึกษาจากสัตว์พบว่า สัตว์ที่ชอบอยู่รวมกับฝูงมีต่อมน้ำเหลืองที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าสัตว์ที่ขี้อาย ต่อมน้ำเหลืองเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีหน้าที่ช่วยทำลายเชื้อโรคที่สามารถแพร่เชื้อ เช่น เชื้อไวรัส ดังนั้นสุตว์ หรือบุคลที่ระบบไม่ทำงานเต็มประสิทธิภาพจึงขาดภูมิคุ้มกัน ทำให้ติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย

เงียบขรึม

+ เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจ คนที่มีอาการซึมเศร้านอกจากจะประสบปัญหาทางอารมณ์แล้ว ยังถูกปิดกั้นทางความรู้สึกโดยไม่รู้ตัว ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นในการเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยังระบุว่า หากคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ จะมีอัตราเสียชีวิตสูงขึ้น สาเหตุสืบเนื่องมาจากปัญหาในการควบคุมฮอร์โมนความเครียดไม่สมดุล ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูง และเส้นเลือดอุดตัน ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ดีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่มีลักษณะนิสัยแบบนี้ยังมีระบบภูมิคุ้มกันที่ต้องทำงานหนัก จึงมีการอักเสบมากขึ้น และเป็นอันตรายต่อเส้นเลือด

ประสาท

+ ระวังโรคหอบหืด ปวดศรีษะ แผลในกระเพาะอาหาร และโรคหัวใจ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแจงว่า คนที่มีนิสัยแบบนี้ชอบโทษตัวเอง และเป็นปฏิปักษ์มากกว่าพยายามขอความช่วยเหลือและกำลังใจจากคนอื่น จึงมีแนวโน้มเครียดสูง ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันด้อยประสิทธิภาพ และอ่อนแอต่อโรค หรืออาจเป็นเพราะคนที่มีอาการทางประสาทมักซึมเศร้า ซึ่งมีผลทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

มองโลกแง่ร้าย

+ อาจอายุสั้น และเป็นโรคพาร์คินสัน คนแบบนี้มีความเสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับคนที่มองโลกแง่ดี ดร.เจมส์ โบเวอร์ จากมาโย คลินิกในอเมริกา พบว่าคนที่มองโลกแง่ร้ายและมีความกังวลสูง มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเป็นโรคพาร์คินสันในวัยชรา

7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย

แม้น้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไป

1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล

2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง

3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น

4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน

5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป

6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ "เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"

7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่

ข้อแนะนำบางอย่างเพื่อให้เกิดสุขภาพที่ดีมีจิตใจสงบ

เคี้ยวอาหารให้ละเอียด กลุ่มแมกโครไบโอติกส์ให้เคี้ยวถึง 50 ครั้งต่อคำ เพื่อให้ย่อยง่าย ไม่เป็นภาระแก่กระเพาะและทำให้เห็นคุณค่าของอาหารแต่ละคำ

เข้านอนไม่เกินสี่ทุ่ม และตื่นแต่เช้าตีสี่หรือตีห้า

ตื่นขึ้นแล้วทำจิตใจให้บริสุทธิ์ จะสวดมนต์ไหว้พระหรือนั่งสมาธิแล้วแต่ความชอบ จากนั้นออกกำลังกายแถมด้วยการเดินเท้าเปล่าบนหญ้าหรือบนดิน ให้ถูกแสงแดดอ่อนๆ ถ้าทำสวนพรวนดินก็ไม่ควรใส่รองเท้า หรือมิฉะนั้นก็ทำงานในบ้าน ทำความสะอาดบ้าน ทำความสะอาดทั้งกายทั้งใจ ทั้งบ้านพร้อมกันไปด้วย

สวมเสื้อผ้าที่ทำจากพืช เช่นผ้าฝ้าย อย่าใช้ผ้าจากใยสังเคราะห์ อย่าตกแต่งเครื่องประดับร่างกายจนเกินความจำเป็น จนกลายเป็นตู้เพชรตู้ทองเคลื่อนที่ ไม่ใส่อะไรเลยดีที่สุด

ไม่ควรใช้เครื่องสำอางค์ หรือน้ำหอมซึ่งผลิตจากเคมี แม้แต่ยาสีฟันก็ใช้ยาสีฟันแบบเก่าๆที่ทำจากเกลือ จากสารส้มดีกว่า

อย่าดูทีวีหรือเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์มากจนเกินไป

ไม่ควรใช้เครื่องหุงต้มหรือเตาไฟฟ้าหรือไมโครเวฟ ให้ใช้เตาถ่านเตาแก๊สดีกว่า

ปลูกต้นไม้มากๆ ถ้าไม่มีที่ทำสวนก็ใช้ปลูกต้นไม้ ดอกไม้กระถาง ( ไม่ใช้พลาสติกเด็ดขาด ) ในบ้านหัดฟังเสียงนกร้องเกี้ยวกันเสียบ้าง หาโอกาสเข้าป่าปีละหลายๆครั้ง ถ้าได้วันละครั้งยิ่งดี ( ก็หมายความว่าให้ไปอยู่ป่านั่นแหละ )

อย่าอาบน้ำร้อน ให้อาบน้ำเย็น ถ้าจะใช้ความร้อนให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนถูตัวให้ทั่วทั้งเช้าทั้งเย็น

มองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรักและขอบพระคุณ ให้สำนึกว่าเราเป็นหนี้บุญคุณต่อทุกคน และทุกสิ่งทุกอย่างในโลก

ให้ขอบคุณอาหารทั้งก่อนกินอาหารและหลังกินอาหาร

คุณมีโลกใกล้ตัวและโลกไกลตัว ก่อนจะเป็นเจ้าของโลก รักษาโลกใกล้ตัวไว้ให้ดีเสียก่อน โลกใกล้ตัวคือ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ พี่น้อง ลูกหลาน เพื่อนฝูง รักษาน้ำใจติดต่อใกล้ชิดอย่าให้ขาด

ร้องเพลงเพราะๆทุกวัน ไม่รู้จะร้องเพลงอะไร ร้อง Happy birthday ให้ตัวเองทุกวันก็ยังได้

ชีวิตกับโภชนาการ

โดย ดร.สาทิส อินทรกำแหง

แนะนำอาหารตามแนวแมคโครไบโอติกส์และชีวจิต

1.อาหารประเภทแป้งซึ่งไม่ได้ขัดขาว หรือที่เรียกว่า Whole Grains เช่นที่เป็นข้าว ก็เป็นข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ถ้าเป็นข้าวโพดก็ข้าวโพดทั้งเมล็ดหรือทั้งฝัก ถ้าเป็นแป้งขนมปังก็เป็นขนมปังโฮลวีท เหล่านี้เป็นต้น " ปริมาณอาหารประเภทนี้ ประมาณ 50 % ของแต่ละมื้อ "

2.ผัก ใช้ทั้งผักดิบ ผักสุก อย่างละครึ่ง ทำเป็นสลัดผักสดก็ได้ ทำเป็นผักสุกจิ้มน้ำพรกบ้าง หรือผัดโดยใช้น้ำมันพืชแต่น้อย ผักถ้าปลูกเองไม่ใช้สารเคมีต่างๆ จะดีที่สุด แต่ถ้าต้องซื้อจากตลาดก็ต้องเลือกผักที่ปลอดสาร แช่น้ำนานๆ และแช่ด่งทับทิมด้วย " ปริมาณของผัก ประมาณ 25 % ของแต่ละมื้อ "

3.ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ และผลิตผลจากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร หรือผลผลิตซึ่งดัดแปลงจากถั่วในรูปต่างๆ " ปริมาณของถั่วหรือโปรตีนจากพืช ประมาณ 15 % ของแต่ละมื้อ " นอกจากนี้จะใช้โปรตีนจากสัตว์เป็นครั้งคราว คือปลาและอาหารทะเลได้ ประมาณอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง

4.เบ็ดเตล็ด คือ แกงหรือซุป ถ้าจะเป็นแกงแบบไทย ก็ใช้แกงจืดหรือแกงเลียง หรือจะทำเป็นซุปก็ใช้มิโซ่หรือเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นผสมในน้ำแกง " สำหรับมิโซ่นี้ จะใช้ปรุงรสอาหารอย่างอื่นด้วยก็ได้"

สิ่งซึ่งใช้เป็นเนื้อหาของการปรุงซึ่งใช้เป็นประจำก็คือ สาหร่ายทะเล จะผสมอาหารต่างๆเป็นเครื่องปรุงก็ได้ ใส่แกงหรือผัดผักต่างๆก็ได้

เครื่องปรุงอีกอย่างซึ่งใส่อาหารได้ทุกอย่างก็คือ งา ใช้ทั้งงาสดและงาคั่วโรยอาหารต่างๆได้ทุกอย่าง

ถั่วต่างๆและเมล็ดพืชใช้กินเล่น เช่น ถั่วคั่ว เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม

ผลไม้ ควรเป็นผลไม้เขียวและไม่หวาน เช่น ฝรั่ง มะม่วงดิบ

" กลุ่มเบ็ดเตล็ดซึ่งมีแกง ของกินเล่น และผลไม้นี้ รวมปริมาณแล้วประมาณ 10 % ของแต่ละมื้อ "

อาหารที่ควรงด

1.งดอาหารเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อ หมู ไก่

2.งดน้ำตาลขาวทุกชนิด รวมทั้งอาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่ผลิตจากน้ำตาล เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง เค้ก ไอศกรีม น้ำหวานต่างๆ

3.งดอาหารมันที่ใช้ น้ำมัน นม เนย กะทิ

4.งดแป้งขาวทุกชนิด เช่น ข้าวขาว ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ขนมปังขาว

ตัวอย่างอาหารชีวจิต

โดย ดร.สาทิส อินทรกำแหง

วันจันทร์

เช้า น้ำส้มคั้น , ขนมปังโฮลวีทปิ้ง 2 แผ่นทาแยมหรือเนยถั่วหรือน้ำพริกเผา , กล้วยน้ำว้า 1 ลูก มะละกอ 1 ชิ้นยาว , ฝรั่งสุกครึ่งลูก

กลางวัน เย็นตาโฟประยุกต์ ผักบุ้งมากๆ เต้าหู้มากๆ , ผลไม้ , ถั่วกินเล่น

เย็น ข้าวซ้อมมือ , ผักน้ำพริกปลาเผา , ผัดถั่วงอกเต้าหู้ เห็ด , ยำเต้าหู้ใส่มันฝรั่ง ใส่ผักต่างๆ ใส่น้ำพริกเผา , แกงเลียง

วันอังคาร

เช้า น้ำแตงโม , ข้าวต้มซ้อมมือใส่เห็ดเป๋าฮื้อ , ผลไม้ - แอปเปิ้ลเขียว , มะละกอ 1 ชิ้น

กลางวัน แซนด์วิชเต้าหู้ , กล้วยน้ำว้า , ถั่วกินเล่น

เย็น ผักน้ำพริก , หน่อไม้ฝรั่งผัดซีอิ๊ว , แกงจืดเต้าหู้ขาว เห็ดหูหนู , ข้าวซ้อมมือ

วันพุธ

เช้า ข้าวต้มซ้อมมือ , ยำไชโป๊ว , เต้าหู้ยี้ , ปลาสลิด , น้ำส้มคั้นผสมมะนาว

กลางวัน สลัดมันฝรั่ง , ผักสดชิ้นยาว , กล้วยตาก , มะละกอ , สับปะรด

เย็น เมี่ยงปลาทูผักสด , ผัดเผ็ดเต้าหู้ , ผัดมะเขือยาวใส่เต้าเจี้ยว ใบแมงลัก

วันพฤหัสบดี

เช้า ขนมปังโฮลวีทปิ้ง 2 แผ่น , แยมผลไม้ , น้ำส้มคั้น

กลางวัน ข้าวผัดหนำเลี้ยบ , ผักสดจิ้มสลัด , ผลไม้

เย็น ถั่วแดงทรงเครื่อง , สลัดผัก , ซุปหัวหอม , ขนมปังปิ้ง , ผลไม้

วันศุกร์

เช้า ข้าวต้มซ้อมมือ , เต้าหู้ยี้ , ผักดองซีเซ็กฉ่าย , ผลไม้ , น้ำแครอท

กลางวัน ก๋วยเตี๋ยวเส้นฟักทองราดหน้า , ผลไม้

เย็น ยำถั่วหัวกลม , เต้าหู้ทอดราดหน้าเห็ด , ผัดผักรวมมิตร , ข้าวซ้อมมือ

วันเสาร์

เช้า ข้าวต้มซ้อมมือ , ยำกุ้งแห้ง , เต้าหู้ยี้ ,ผักดอง , นมถั่วเหลืองใส่วีทเยิรม์อบน้ำผึ้ง , ผลไม้

กลางวัน ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย , ผลไม้ , ถั่วกินเล่น , น้ำแตงโม

เย็น สลัดปลาทูน่า น้ำมันมะกอก น้ำพริกเผา , ปลากะพงทอด ( ไม่ใส่น้ำมัน ) ยอดมะกรูด ตะไคร้ ซ๊อสขาว , ถั่วทรงเครื่องหน้าเห็ด หรือสตู ผักประดับ ( แครอท ไชเท้า ดอกกะหล่ำ สด - นึ่ง ) , มะนาวผสมน้ำผึ้ง โซดา สะระแหน่ , ผลไม้ - แคนตาลู้ป , สตรอเบอรรี่ , เงาะ 3 ลูก

วันอาทิตย์

เช้า กล้วยน้ำว้า , ข้าวต้มเห็ดหอม , น้ำส้ม - น้ำมะนาว

กลางวัน ขนมจีนน้ำยาเห็ด เส้นโฮล ผักสดต่างๆ

เย็น ซุปเต้าหู้อ่อน , แกงเลียง , ยำมะเขือยาว กุ้งแห้ง มะม่วงดิบ กระเทียมดอง , บร็อคเคอรี่ผัดเต้าหู้ เห็ดเป๋าฮื้อ น้ำพริกป่า , ผักดิบ - ต้ม , ข้าวซ้อมมือ

น้ำชาสุขภาพ 2

ใช้แทนกาแฟหรือชา โดยใช้สมุนไพร รากไม้ ดอกไม้ เมล็ดจากไม้ชนิดต่างๆ ใช้เป็นยาและเครื่องดื่ม ช่วยให้แข็งแรง สดชื่นได้เป็นอย่างดี

เถาวัลย์เปรียง หั่นเป็นแว่นๆ นำมาคั่วให้หอม ชงน้ำดื่ม ดื่มได้อร่อยด้วย เป็นยาด้วย ปัสสาวะคล่อง และแก้ขัดเบา

เตยหอม หั่นแล้วนำมาคั่ว ชงน้ำดื่ม บำรุงหัวใจ ขับปัสสาวะ

ใบสัก หั่นแล้วนำมาคั่ว ผสมกับเตยหอม แก้เบาหวาน

เก๊กฮวยตากแห้ง ชงน้ำร้อน ผสมกับมะลิแห้ง ก็จะช่วยให้หอมและมีรสอร่อยขึ้น บำรุงประสาท หัวใจ

รากบัว หั่นเป็นแว่น ต้มกับน้ำจนเดือด ดื่มเป็นเครื่องดื่ม ช่วยระบบหายใจ แก้ไซนัส

เม็ดชุมเห็ด นำไปคั่ว ชงน้ำดื่ม ขับปัสสาวะและแก้โรคท้องผูก แก้ตับอักเสบ

มะตูม ใช้มะตูมดิบ หั่นเป็นแว่น ตากแดด แล้วอบหรือหั่นเป็นชิ้นคั่วให้หอม ชงน้ำดื่ม เจริญอาหาร แก้จุกเสียดแน่นท้อง กรดในกระเพาะมาก

ขิง ใช้ขิงแก่ ต้มน้ำจนเดือด ดื่มแก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว ในกระเพาะมีกรดมาก

ตะไคร้ หั่นเป็นแว่น ชงน้ำดื่มขับปัสสาวะ ขับลม แก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ

หญ้าคา ใช้ทั้งต้นและราก ต้มน้ำดื่ม ผสมกับตะไคร้ ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบาได้ด้วย

สะระแหน่ ใช้ผสมกับน้ำผลไม้ โดยเด็ดเป็นใบๆ โรยหน้าน้ำผลไม้ ทำให้น้ำผลไม้รสดีและหอมขึ้น ช่วยขับลม แก้ท้องขึ้นท้องเฟ้อ ถ้าจะใช้ชงน้ำดื่ม ใช้ใบสะระแหน่ฝรั่งตากแห้ง ชงน้ำดื่ม

ดอกคำฝอย ชงน้ำดื่ม ขับปัสสาวะ และลดไขมันในเส้นเลือด

น้ำมันพืชทุกชนิดกินแล้วลดโคเลสเตอรอลได้จริงไหม ?

คำตอบคือ ไม่จริง ทั้งนี้เพราะน้ำมันพืชแต่ละอย่างมีไขมันชนิดต่างๆ ไม่เหมือนกัน บางชนิดมีน้ำมันดี (unsaturated fats) บางชนิดมีน้ำมันเลว (saturated fats) ต่อหัวใจ น้ำมันเลวเมื่อเข้าไปในร่างกายแล้ว จะไปเปลี่ยนเป็นโคเลสเตอรอลได้มากกว่า

น้ำมันแต่ละชนิดที่มีในท้องตลาดมีไขมันเลว คือ ไขมันอิ่มตัวเป็นเปอร์เซ็นต์ต่างๆ ดังนี้

น้ำมันมะพร้าว92%

เนยเหลว64%

น้ำมันในเนื้อสัตว์52%

น้ำมันปาล์ม51%

น้ำมันหมู41%

น้ำมันไก่1%

น้ำมันถั่วลิสง18%

น้ำมันถั่วเหลือง15%

น้ำมันมะกอก14%

น้ำมันข้าวโพด13%

น้ำมันดอกทานตะวัน9%

น้ำมันดอกคำฝอย9%

น้ำมันแคโนลา6%

จากตัวเลขเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าน้ำมันมะพร้าวเลวที่สุด ใครชอบกินแกงกะทิควรระวัง น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารตามร้านอาหารทั่วไป คือ น้ำมันปาล์ม ก็มีพิษมีภัยใช่ย่อยพึงระวังให้ดี

ลองแก้ปวดหัวด้วยวิธีชีวจิต

เป็นการแก้แพ้ด้วย

1. กินอาหารตามสูตรชีวจิต

2. งดกาแฟ ( สำคัญมาก ) งดบุหรี่ งดแอลกอฮอล์

3. งดหวาน งดน้ำตาลทรายขาว งดน้ำอัดลม งดเค้ก ไอศกรีม ช็อกโกแล็ต

4. งดเนยแข็ง ( บางคนชอบเนยแข็งมาก ต้องพยายามหักห้ามใจให้ได้ )

5. อย่าใช้ผงชูรสในอาหาร

6. บางคนที่ชอบกินวิตามินเป็นประจำ ให้งดวิตามิน A ไว้ก่อน

7. ให้เพิ่มวิตามิน B 6 และไนอาซิน ( ถ้ากินไนอาซิน บางคนอาจจะแพ้ เกิดหน้าร้อนผ่าว เกิดผดผื่นคัน อาบน้ำเย็นเสียจะหาย ถ้าไม่หายให้งดไนอาซินไว้ก่อน )

8. บางคนที่แพ้อาหารบางอย่าง ให้งดอาหารชนิดนั้น

9. ถ้าแพ้อาหารและปวดหัวระเบิดทันทีทันใด ถ้ามีเครื่องออกซิเจน ให้สูดออกซิเจนจะหายปวดได้

กินดี...ต้านโรคได้

การกิน ไม่ใช่กินอย่างไรให้อร่อย แต่เน้นเรื่อง “ กินดี ” เพื่อต้านโรค เพราะเล็งเห็นว่าคนยุคนี้มีโรคภัยมากมายเกาะกุมรุมเร้าอันมีสาเหตุมาจากอาหารการกิน ผู้ใหญ่และวัยรุ่นยุคนี้คุ้นเคยกับอาหารจานด่วนมากกว่าน้ำพริกผักจิ้ม ส่วนเด็กยุคใหม่เรียกได้ว่าโตมาจากนมผงและอาหารจานด่วน แถมดูอ้วนท้วนสมบูรณ์แก้มกลมแสนน่ารัก แต่อนาคตทำนายได้ยากว่าจะรอดพ้นจากภัย โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดตีบ โรคมะเร็งได้แค่ไหน

แล้วอาหารมีผลอย่างไรที่ทำให้เกิดโรคได้ ?

เมื่ออาหารเข้าสู่ร่างกายของเราแล้วจะถูกย่อยเป็นโครงสร้างเล็กๆ เพื่อเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญ หรือเมตาบอลิซึม ที่ทำให้เซลล์เล็กๆ ในร่างกายสามารถนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์และเป็นพลังงาน แต่เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารในสัดส่วนที่ไม่สมดุลเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ทำให้มีแนวโน้มของการได้รับสารอาหารบางประเภทมากเกิน โดยเฉพาะแป้ง น้ำตาล และไขมัน ยกตัวอย่างเช่น แป้ง น้ำตาล ที่มักพบในอาหารจานด่วนและขนมต่างๆ เมื่อได้รับมากเกินไปจะทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด และเมื่อมีปริมาณไม่เพียงพอ จะนำไปสู่การเป็นเบาหวานได้ นอกจากนี้แป้งและน้ำตาลที่เหลือใช้จะเปลี่ยนเป็นไขมันและสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายทำให้เกิดโรคอ้วน ซึ่งเมื่อเกิดการสะสมมากขึ้น ระบบการทำงานของร่างกายจะเริ่มแปรปรวนและทำงานบกพร่องจนนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น ไขมันที่ไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดจะทำให้หลอดเลือดสูญเสียความยืดหยุ่น ปิดกั้นการไหลเวียนของเลือด จนอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดไปเลี้ยง

การป้องกันย่อมดีกว่าแก้ไข “ การกินดี เพื่อต้านโรค ” จึงต้องเริ่มจากการเลือกอาหารในแต่ละวันให้มีสัดส่วนและปริมาณที่เหมาะสม ลดและเลี่ยงอาหารบางชนิด โดยมีหัวใจหลักดังนี้

เลือกกินอาหารที่หลากหลาย

เนื่องจากอาหารแต่ละชนิดจะมีองค์ประกอบของสารอาหารไม่เหมือนกัน โดยจะมีปริมาณที่แตกต่างออกไปตามหมวดหมู่ของอาหาร เช่น ส้มจะเป็นแหล่งของวิตามินซี แต่มีวิตามินบี 12 อยู่น้อย ในขณะที่ชีสจะมีปริมาณของวิตามินบี 12 อยู่มากกว่า การกินอาหารชนิดเดียวกันทุกๆ วันจะทำให้ร่างกายได้สารอาหารที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะผู้ที่กินมังสวิรัติมีแนวโน้มที่จะขาดโปรตีน วิตามินบี แคลเซียม และธาตุเหล็กได้ง่าย จึงอาจจำเป็นต้องรับประทาน วิตามิน หรืออาหารเสริม ในหนึ่งวันจึงควรเลือกอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ ธัญพืช ผัก ผลไม้ นม เนื้อสัตว์ และถั่วตามปริมาณที่เหมาะสมกับแต่ละคน

คุมปริมาณพลังงานและสัดส่วนสารอาหารในแต่ละวัน

คุณควรเลือกกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ให้พลังงานต่ำ การหมั่นสังเกตฉลากแสดงปริมาณสารอาหารที่เป็นองค์ประกอบ ในอาหารนั้นๆ จะทำให้เข้าใจและสามารถกำหนดสัดส่วนการกินใน แต่ละมื้อได้ดีขึ้น โดยเฉลี่ยพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน 50% ควรมาจาก กลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งควรเน้นอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าว และธัญพืชต่างๆ อาหารกลุ่มโปรตีน ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่ และถั่วต่างๆ ควรได้รับประมาณ 15% ส่วนที่เหลือ 35% มาจากไขมันชนิดดี หรือไขมันที่ไม่อิ่มตัว

กินธัญพืช ผัก และผลไม้ เป็นหลัก

อาหารจำพวกธัญพืช ผัก และผลไม้ นอกจากจะเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีคุณค่าแล้ว ยังเป็นกลุ่มของอาหารที่มีไขมันต่ำมาก ทำให้อิ่มนานเพราะมีใยอาหารปริมาณสูง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ใยอาหารซึ่งมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดีจะช่วยในการขับถ่ายและดูดซึมสารพิษในลำไส้ โดยขับออกมาพร้อมกับอุจจาระ จึงช่วยป้องกันการสะสมของสารพิษ และลดอาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร และลดอัตราเสี่ยงของมะเร็งที่ ลำไส้ใหญ่ได้

เลือกกินแต่ไขมันชั้นดี

ไขมันไม่ได้มีโทษไปเสียทุกชนิด ร่างกายยังต้องการไขมันเพื่อใช้เป็นพลังงาน สร้างความอบอุ่น ช่วยในการทำงานของสมอง และเป็นองค์ประกอบของฮอร์โมนต่างๆ รวมทั้งช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค ไขมันที่ดีคือไขมันที่ไม่อิ่มตัว มีมากในน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมัน-ข้าวโพด น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกคำฝอย และปลาทะเล ฯลฯ ส่วนไขมันชนิดเลวคือไขมันอิ่มตัวจะทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในร่างกาย เพิ่มขึ้น อาจสะสมอุดตันในเส้นเลือด น้ำมันชนิดนี้มักพบในกะทิ น้ำมัน-มะพร้าว น้ำมันปาล์ม ไขมันจากสัตว์ และนม แต่ในเมื่อนมเป็นอาหารที่มีประโยชน์สูง คุณอาจเปลี่ยนมาดื่มนมไขมันต่ำแทนก็ได้

ลดน้ำตาลลง

อาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตซึ่งได้แก่แป้งและน้ำตาล เมื่อเข้าสู่ร่างกายและผ่านกระบวนการย่อยจะได้กลูโคส ซึ่งก็คือน้ำตาลชนิดหนึ่ง กลูโคสเป็นสารที่ให้พลังงานกับร่างกาย ในขณะเดียวกันหากมีมาก เกินไปจะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม จึงไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่ต้องการ ควบคุมน้ำหนักตัว นอกจากนี้การมีน้ำตาลอยู่ในร่างกายปริมาณสูงจะ ทำให้การสร้างอินซูลินที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดเสียสมดุลไป เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงขนมหวานหรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน การเลือกกินข้าวกล้องที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะทำให้ร่างกายค่อยๆ สลายกลูโคสออกมาอย่างช้าๆ จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้

เลี่ยงรสเค็ม

อาหารส่วนใหญ่มีเกลือโซเดียมเป็นองค์ประกอบในปริมาณสูง มีอยู่ในอาหารทั่วไปเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นซอสปรุงรส น้ำปลา ขนมกรุบกรอบ อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป และอาหารที่มีรสเค็มทุกชนิด จึงเป็นไปได้ว่าเรามักจะได้รับโซเดียมเกินความต้องการของ ร่างกาย แม้ว่าโซเดียมจะมีประโยชน์ช่วยควบคุมปริมาณน้ำและความดัน-เลือดในร่างกาย แต่การได้รับโซเดียมมากเกินไปจะก่อให้เกิดโรคความดัน-โลหิตสูงได้ โดยในผู้ใหญ่แนะนำว่าควรได้รับประมาณวันละไม่เกิน 1,100-3,300 มิลลิกรัม

ระวังภัย 7 โรคร้าย ...ด้วยการกินให้ถูกวิธี

ถ้าคุณเป็นคนกินไม่เลือก ตามใจลิ้นอยู่ร่ำไป เมื่อร่างกายที่อยู่ในภาวะโภชนาการไม่ดีไปนานๆ ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาโรคเรื้อรังต่างๆ ขึ้นตามมาได้ ซึ่งโรคหลักๆ จากอาหารมีอยู่ไม่มากตามที่เกริ่นไว้แต่ต้น ดังนั้นถ้าสายเสียแล้วที่จะแก้ไข การเลือกวิธีโภชนบำบัด (diet therapy) ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย เพื่อให้การรักษาได้ผลอย่างเต็มประสิทธิภาพ ร่วมไปกับการรักษาทางการแพทย์

เป็นเบาหวานต้องคุมน้ำตาล

โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้เซลล์ต่างๆ ทำงานได้น้อยลง รวมทั้งเกิดความผิดปกติในการเผาผลาญสารอาหารด้วย ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก เบาหวานสามารถควบคุมได้ด้วยการควบคุมอาหาร ซึ่งสำคัญมากกว่าการรักษาด้วยยา ควรงดเว้นอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาล ทุกชนิด จำกัดปริมาณผลไม้ และธัญพืชต่างๆ รวมทั้งข้าว เพราะจะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด รับประทานผักประเภทใบที่มีใยอาหารสูงให้มากขึ้นในปริมาณไม่จำกัด เช่น ผักบุ้ง ผักกาดขาว ส่วนอาหารจำพวกโปรตีนยังสามารถกินได้ปกติ แต่ควรระมัดระวังเรื่องน้ำหนักตัว เพราะจะส่งผลโดยตรงกับอาการของเบาหวาน การคุมอาหารควรทำไปพร้อมไปกับการควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

อาหารกับโรคหลอดเลือดแข็งและโคเลสเตอรอล

ภาวะไขมันในเลือดสูงจะมีผลให้ไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือดจนขาดความยืดหยุ่นและ อุดตันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ถ้าเกิดการอุดตันจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย (myocardial infarction) และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ไขมันที่พบว่าเกิดการสะสม คือ โคเลสเตอรอล เพื่อความปลอดภัยองค์การอนามัยโลกได้เสนอให้ควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดให้ต่ำกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร เมื่อโคเลสเตอรอลได้จากอาหาร การควบคุมโดยลดการกินไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันจากสัตว์ ไข่แดง นม น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม เพิ่มปริมาณอาหารที่มีใยอาหารให้มากขึ้น เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวโอ๊ต เพราะใยอาหารจะจับกับ โคเลสเตอรอลในลำไส้เล็กทำให้ถูกดูดซึมได้น้อย และจะถูกขับออกมาทางอุจจาระ นอกจากนี้ แหล่งไขมันที่ควรได้รับในแต่ละวันควรมาจากไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำข้าว อย่างน้อย 10-12% ของพลังงานทั้งหมด

ควบคุมสัดส่วนอาหารต้านโรคอ้วน

น้ำหนักตัวเกินมาตรฐานเกิดจากร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ จึงเกิดการสะสมในรูปของไขมัน จนอาจทำให้การทำงานของร่างกายผิดปกติและเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน ข้ออักเสบ และระบบทางเดินหายใจ การรักษาจะต้องเริ่มจากสาเหตุ คือควบคุมปริมาณการกินอาหารให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม และออกกำลังกายให้มากขึ้น ในส่วนของอาหารนั้นจำเป็นต้องกินอาหารให้ครบทุกมื้อ แต่ลดพลังงานลงวันละ 500 แคลอรี จะสามารถ ลดน้ำหนักลงได้สัปดาห์ละ 1/2 กิโลกรัม เช่น เปลี่ยนจากกินข้าวมาเป็นผักที่มีใยอาหารสูงเพื่อให้อิ่มนานขึ้น งดอาหารที่มีไขมันมาก เช่น เนื้อติดมัน อาหารทอด และงดอาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารทุกมื้อควรมีปริมาณโปรตีนที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอ เช่น ถั่วชนิดต่างๆ แทนที่จะเป็นเนื้อสัตว์ที่มักจะมีไขมันสูง

โปรตีนต่ำเพื่อพยุงโรคไต

ไต ทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย แต่ส่วนใหญ่จากการเผาผลาญของโปรตีน ดังนั้นอาหารที่ทำให้ไตต้องทำงานหนักมากขึ้นในการขับถ่ายของเสีย คือ โปรตีน โรคเกี่ยวกับไตมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่โดยสรุปก็คือทำให้ไตไม่สามารถทำหน้าที่อย่างปกติได้ หลักสำคัญในการรักษาด้วยอาหารคือช่วยให้ไตทำงานน้อยลง เพื่อให้ไตได้มีโอกาสพักหรือฟื้นตัว และลดการคั่งของของเสีย อาหารที่รับประทานควรจะมีปริมาณโปรตีนน้อย แต่เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ เพื่อนำไปช่วยเสริมสร้างทดแทนเนื้อเยื่อต่างๆ ที่สูญเสียไป แต่สำหรับผู้ที่เป็นไตวายเรื้อรังจะมีระดับฟอสเฟตในเลือดสูง จำเป็นต้องงดโปรตีนที่มาจากนม ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ และไข่ เพราะเป็นอาหารที่มีปริมาณฟอสเฟตสูง เมื่อจำกัดปริมาณโปรตีนในอาหารแล้ว พลังงานส่วนใหญ่ที่ได้รับจึงมาจากน้ำตาล ไขมัน และแป้งที่มีโปรตีนน้อย เช่น วุ้นเส้น แป้งมัน ข้าวโพด มันสำปะหลัง วุ้น ลูกชิด สาคู เป็นต้น รวมทั้งจำกัดการได้รับโซเดียม โดยหลีกเลี่ยงสารปรุงรสที่มีเกลือโซเดียมเป็นองค์ประกอบทั้งสิ้น

โรคความดันโลหิตสูงต้องระวังเกลือ

ความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากแรงดันภายในหลอดเลือดแดงสูงตลอดเวลา โดยแรงดันค่าสูงสุด (systolic blood pressure) และแรงดันค่าต่ำสุด (diastolic blood pressure) มีค่าสูงกว่า 160/95 โรคความดันโลหิตสูงจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมามากมาย คือหลอดเลือดแดง ไม่แข็งแรง เลือดไปเลี้ยงไม่สะดวก โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นในบริเวณอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ สมอง ไต หรือจอตา ก็จะส่งผลให้เกิดอันตรายหรือถึงแก่ชีวิตได้ หลักการรักษาโรคความดันโลหิตสูงคือการควบคุมอาหาร การลดน้ำหนักลงให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมทั้งหลีกเลี่ยงความเครียด การดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ อาหารที่ควรจำกัดคืออาหารที่มีเกลือหรือโซเดียมอยู่มาก เพราะโซเดียมที่อยู่ในเกลือจะทำหน้าที่ในการควบคุมสมดุลแรงดันของผนังเซลล์ และปริมาณน้ำในร่างกาย อาหารที่มีเกลือโซเดียมมาก ได้แก่ น้ำปลา ซอสปรุงรสต่างๆ อาหารทะเล และยาบางชนิด นอกจากนี้ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันมาก เพราะจะทำให้การควบคุมน้ำหนักเป็นไปได้ยาก โดยน้ำหนักที่เกินมาตรฐานจะทำให้หัวใจ ทำงานหนักมากขึ้นด้วย

โรคเกาต์กับกรดยูริค

โรคเกาต์เกิดจากการที่ร่างกายมีระดับกรดยูริค (uric acid) ในเลือดสูง ร่างกายได้รับกรดยูริคจากอาหาร และจากการสังเคราะห์ขึ้นในร่างกายโดยการสลายตัวของเซลล์ต่างๆ โดยจะมีอาการปวดที่เกิดจากการอักเสบของบริเวณที่มีการสะสมของกรดยูริค โดยเฉพาะบริเวณเนื้อเยื่อข้อต่อของกระดูก ทำให้ข้อกระดูกเสื่อม และกระดูกบริเวณนั้นผิดรูปได้ อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเกาต์จะต้องมีสัดส่วนของสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นแหล่งของกรดยูริค เช่น เครื่องในสัตว์ ถั่วต่างๆ ไข่ปลา ชะอม กะปิ ปลาซาร์ดีนกระป๋อง สัตว์ปีก กุ้งชีแฮ้ หอย น้ำต้มกระดูก ซุปก้อน ปลาขนาดเล็ก เห็ด กระถิน ยีสต์ ปลาอินทรีย์ เป็นต้น ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ควรกินอาหารที่มีไขมันน้อยลงเพื่อให้น้ำหนักลดลง ถ้ากินไขมันมากเกินไปจะทำให้ขับถ่ายกรดยูริคได้ไม่ดี แต่อย่างไรก็ดีไม่ควรได้รับอาหารที่มีพลังงานต่ำจนเกินไป เพราะร่างกายจะมีการสลายไขมันจากเนื้อเยื่อ ออกมาใช้ ทำให้มีปริมาณกรดยูริคสะสมเพิ่มขึ้นและขับถ่ายออกจากร่างกายลดลง น้ำตาลและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ควรงดเพราะมีผลต่อการขับถ่ายกรดยูริคด้วยเช่นกัน

ระวังอาหารห่างไกลโรคมะเร็ง

มะเร็ง (cancer) เป็นเนื้อเยื่อที่เจริญเติบโตผิดปกติ โดยจะขยายเซลล์ไปทำลายเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้เคียง รวมทั้งกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ด้วย พบว่าอัตราการเสียชีวิตของประชากรโลกจากมะเร็งเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปัจจัยภายนอกที่เป็นตัวกระตุ้น ได้แก่ มลพิษจากสภาพแวดล้อมและอาหาร ข้อมูลต่างๆ จากการศึกษาพบว่าพฤติกรรมการกินอาหารมีผลกับการเกิดโรคมะเร็งมาก เพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจึงควรปฏิบัติดังนี้

•จำกัดอาหารที่มีปริมาณโคเลสเตอรอลสูง เนื่องจากพบว่ามะเร็งในลำไส้ใหญ่มักเกิดในกลุ่มผู้ที่กินอาหารที่มีไขมันและโคเลสเตอรอลสูงเป็นเวลานานๆ
•หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองหรือรมควันที่จะก่อให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
•กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะผักที่มีสารซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็ง ได้แก่ อินดอล (indole) อะโรมาติกไอโซไทโอไซยาเนต (aromatic isothiocyanate) ในดอกกะหล่ำม่วง บร็อคโคลี รวมทั้งผักและผลไม้ที่เป็นแหล่งของวิตามินซีและอี เช่น มะเขือเทศ ส้ม มะนาว จมูกข้าวสาลี ดอกคำฝอย ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ที่จะช่วยลดการทำลายของเนื้อเยื่อที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง

สำหรับแนวทางการจัดอาหารสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็ง คือ ให้มีสารอาหารครบสัดส่วนตามที่ร่างกายต้องการ โดยอาจจำเป็นต้องแบ่งอาหารออกเป็นหลายมื้อ ดัดแปลงอาหารให้น่ากิน รสชาติดี เนื่องจากความบกพร่องของระบบย่อยอาหารและปัญหาด้านจิตใจ ที่สำคัญควรเป็นอาหารที่ปรุงสุก

จะเห็นได้ว่าอาหารที่ดีนอกจากปรุงแต่งรสชาติได้อร่อยถูกใจแล้ว การเลือกสรรสารอาหารให้ได้สัดส่วนและเหมาะสมกับแต่ละคนยังเป็นการป้องกันโรคได้ หรืออย่างน้อยการระวังในการกินสักหน่อยก็ทำให้คนเราอยู่กับโรคต่างๆ ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ลำบากมากนัก ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับอาหารที่คุณกินในแต่ละมื้อเพื่อการมีสุขภาพที่ดี เพราะ You Are What You Eat... ก็ยังคงเป็นจริงเสมอ

กินผลไม้ให้ถูกเวลา...มากคุณค่า

บ้านเราโชคดีที่เป็นประเทศที่มีผลไม้หลากหลายชนิดให้เลือกกินกันได้ไม่มีขาดตลอดทั้งปี แถมราคาก็ยังไม่แพง ได้ของสดๆ ตรงจากสวนจากไร่แทบไม่ต้องง้อผลไม้แช่เย็นจากแดนไกล (เว้นแต่ใครอยากกินผลไม้แปลกใหม่ไม่มีในเมืองไทยก็ไม่ว่ากัน) ซึ่งเรื่องนี้ทำเอาชาวต่างชาติมากมายติดใจไม่น้อย เพราะที่บ้านเมืองเขาอาจซื้อหาผลไม้มากินในราคาถูกแบบนี้ได้ไม่ง่ายนัก

คนส่วนใหญ่ทราบว่าเราควรกินผลไม้เพราะจะได้คุณค่าสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน กรดไขมันต่างๆ ที่จำเป็น ซึ่งจะเป็นกำลังเสริมให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ผลไม้บางครั้งยังเป็นเหมือนยาบำบัดที่ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ เช่นในวันที่อากาศร้อนๆ หากได้ลิ้มรสแตงโมสักชิ้นก็ทำให้ฉ่ำชื่นใจคลายร้อนไปได้มาก หรือคุณอาจเคยได้ยินว่ากินกล้วยน้ำว้าแล้วจะทำให้คลายจากท้องผูก แถมยังทำให้อารมณ์ดี เพราะเชื่อว่าในกล้วยมีสาร Tryptophan เมื่อกินเข้าไปจะเปลี่ยนเป็น Serotonin ที่เป็นสารสร้างความสุขให้กับคนเรา แต่ก็เชื่อว่าหลายๆ คนยังมองการกินผลไม้เป็นเรื่องรอง มีก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน หรือบางคนตั้งใจกินผลไม้แต่กินผิดเวลา คุณค่าที่ควรจะได้จากผลไม้ที่กินเข้าไปก็เลยลดลงอย่างน่าเสียดาย

ร่างกายคนเราเหมาะจะย่อยผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์

หนังสือขายดีไปทั่วโลกชื่อ Fit for Life ของนักบรรยายเรื่องโภชนาการชาวอเมริกัน ฮาร์วีย์ และมาริลีน ไดมอนด์ ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกินผลไม้จนเราอดไม่ได้ที่ต้องนำมาถ่ายทอดสู่กันฟังว่า ที่จริงแล้วเมื่อสืบค้นถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์ อย่างที่ ดร.อลัน วอล์คเกอร์ นักมานุษยวิทยาคนสำคัญ ได้เผยผลการศึกษาในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2522 นั้น ดร.วอล์คเกอร์ได้ศึกษาอย่างละเอียดทั้งจากหลักฐานโครงกระดูกและฟันของมนุษย์ ตลอดจนซากฟอสซิลต่างๆ เขายืนยันว่ามนุษย์นั้นแต่เดิมไม่ใช่เป็นพวกที่กินเนื้อ เมล็ดพืช หรือแม้แต่ผักหญ้าใดๆ หากแต่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการเก็บผลไม้มากิน ธรรมชาติได้สร้างร่างกายคนให้รองรับกับการกินผลไม้เป็นอาหารตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เพิ่งมามีช่วงศตวรรษที่ผ่านมานี้เองที่เราหันไปกินเนื้อสัตว์กันมากขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งผลตามมาก็คือ ร่างกายต้องปรับตัวอย่างหนัก บางครั้งปรับตัวไม่ไหวก็กลายเป็นพิษ เห็นจากอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็งนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือด เต้านม ตับ กระเพาะอาหาร ฯลฯ ขณะที่การกินผลไม้เป็นวิธีสำคัญที่ช่วยล้างพิษ เพราะผลไม้ส่วนใหญ่มีน้ำประกอบอยู่ในปริมาณ 80-90% ทั้งมีกากใย จึงช่วยกวาดล้างพิษต่างๆ ซึ่งคั่งค้างในร่างกายให้ออกไปโดยการขับถ่าย ดังนั้นเมื่อรวมกับสารอาหารที่เราได้จากผลไม้แล้ว จึงนับว่าเป็นอาหารที่ให้ประโยชน์กับร่างกายสูงกว่าอาหารอีกหลายชนิด ในข้อแม้ว่าต้องกินอย่างถูกต้องและเหมาะสมจริงๆ

นอกจากให้สารอาหารต่างๆ แล้ว ไดมอนด์ยังยืนยันว่าการกินผลไม้ แม้จะมีน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต และแคลอรีสูง แต่ไม่ได้ทำให้เราอ้วนแบบการกินอาหารชนิดอื่นๆ โดยอ้างถึงผลงานวิจัยของ ศ.จูดิท โรแดง จากมหาวิทยาลัยเยล ที่ได้แถลงผลงานวิจัยของเธอในเดือน ต.ค.ปี 2526 เกี่ยวกับน้ำตาลในผลไม้มีผลต่อการกินอาหารมื้อต่อไปได้ลดลง โดยทดลองให้คนดื่มน้ำหวานจากน้ำตาลฟรุคโตสที่ได้จากผลไม้กลุ่มหนึ่ง เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่ให้กินน้ำหวานจากน้ำตาลซูโครส แล้วให้ทั้งสองกลุ่มกินอาหารมื้อต่อไป พบว่ากลุ่มที่กินน้ำตาลผลไม้จะกินอาหารมื้อต่อไปได้น้อยกว่าอีกกลุ่มเฉลี่ยถึง 479 แคลอรี ขณะที่ ดร.วิลเลียม คาสเทลลี จากฮาร์วาร์ด และศูนย์ศึกษาโรคหัวใจฟรามิงแฮม (แมสซาชูเส็ท) พบว่าสารหลายชนิดที่พบในผลไม้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหัวใจวายได้ โดยช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวหนาจนไปอุดตันในหลอดเลือด

นอกจากนี้ร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้ไปใช้ในร่างกายเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น แถมยังใช้พลังงานสำหรับการย่อยน้อยมาก (โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น ส้ม องุ่น ในขณะที่หากเป็นกล้วย ทุเรียน อินทผลัม ซึ่งมีน้ำน้อยจะใช้เวลาย่อยนานขึ้น) ซึ่งต่างกับการกินอาหารชนิดอื่น เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ ฯลฯ จะต้องใช้พลังงานในการย่อยอย่างสูง ใช้เวลานานตั้งแต่ชั่วโมงครึ่ง ถึง 4 ชั่วโมง หรือหากกินอาหาร หลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น เนื้อสัตว์ แป้ง ในปริมาณมากๆ อาจใช้เวลาย่อยนานถึง 8 ชั่วโมง ใช้พลังงานไปกับการย่อยเต็มที่ ผลก็คือ ทำให้เรารู้สึกเพลีย ง่วงเหงาหาวนอนหลังอาหารมื้อนั้น ซึ่งอาการนี้จะไม่เกิดเลยหลังจากที่เรากินผลไม้เข้าไป

กินผลไม้ตอนท้องว่าง...ได้ประโยชน์สูงสุด

ไดมอนด์เสนอแนวความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูกวิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กินผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น

ดังนั้นหากใครที่กินอาหารแล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้ หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง หรือหากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย

ตามแนวคิดนี้ เวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ควรจะกินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงเที่ยง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่าของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อยต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้กากใยช่วยชับของเสียที่สะสมมาจากวันก่อน ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเราสามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อยกินอาหารมื้อกลางวัน หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหารสำคัญจากผลไม้เต็มที่ ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ

มาตรฐานคือ ต้อง “ สด ” 100%

ผลไม้ที่เราจะกิน หรือน้ำผลไม้ จะเป็นชนิดไหนก็ได้ สำคัญที่สุดคือ ต้อง “ สด ” 100% ไม่ได้ผ่านความร้อน การหมักดอง หรือการปรุงรสใดๆ เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเมื่อมันอยู่ในสภาพธรรมชาติเท่านั้น แต่ผลไม้ที่ผ่านความร้อนปรุงเป็นอาหาร จะสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปหมดแล้ว

หากเป็นน้ำผลไม้ก็ควรเลือกดื่มชนิดที่คั้นสด 100% จะดีกว่าชนิดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน หรือน้ำผลไม้ที่ผสมจากหัวเชื้อเข้มข้น ซึ่งแบบนั้นจะไม่ได้คุณค่าอาหารแบบที่น้ำผลไม้คั้นสดจะให้ได้ ดื่มน้ำผักหรือผลไม้คั้นสดแทนการดื่มชา กาแฟ ในยามเช้า ก็เป็นหนทางสู่การมีสุขภาพดี แถมยังช่วยให้แต่ละวันของคุณเป็นวันที่แจ่มใสได้อีกด้วย

แนวคิดของไดมอนด์ที่ปรากฏในหนังสือนั้นเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการดูแลสุขภาพร่างกายให้สอดคล้องกับที่ธรรมชาติสร้างมา ให้ใครสนใจอาจลองนำไปปฏิบัติตามได้ไม่เสียหลาย

อาหารบำรุงสมองและระบบประสาท

พอจะแบ่งออกได้เป็น ยา วิตามิน กับอาหารธรรมชาติ ผมอยากจะขอพูดถึงอาหารธรรมชาติก่อน เพราะอาหารกลุ่มนี้ จะมีคุณค่าสูงทางโภชนาการ ทั้งมียาและวิตามิน อยู่ในอาหารเหล่านี้ด้วย ข้อสำคัญ เป็นอาหารที่หาได้ง่ายในท้องตลาด และราคาก็ไม่แพงมากเกินไป อาหารธรรมชาติที่ประกอบด้วยยาและวิตามินต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงสมอง และระบบประสาท ได้แก่

Folic Acid มีอยู่ในผักใบเขียวจัดทุกชนิด แครอต ตับ และไข่แดง แคนตาลูป ฟักทอง อะโวคาโด ถั่วแดง - ดำ - เหลือง ข้าวซ้อมมือ และข้าวสาลีไม่ขัดขาว

Niacin ข้าวซ้อมมือ ข้าวสาลีไม่ขัดขาว จมูกข้าว ปลา ไข่ ถั่วลิสงคั่ว อะโวคาโด อินทผลัม มะเดื่อ ไก่ ( เนื้อขาว )

Zinc จมูกข้าว เมล็ดฟักทอง บริวเวอร์ยีสต์ ไข่ นม มัสตาร์ดผง

Potassuim ส้ม ส้มโอ แคนตาลูป มะเขือเทศ แห้ว ผักใบเขียว สะระแหน่ เมล็ดทานตะวัน กล้วยน้ำว้า มันเทศ มันฝรั่ง

Kelp คือต้นไม้ทะเล เกลือแร่ที่ต้องการจาก Kelp คือไอโอดีน สาหร่ายทุกชนิดก็ใช้ได้

Tryptophan คอตเตจชีส นม เนื้อสัตว์ ปลา กล้วย อินทผลัม ถั่วลิสง

Phenylalanine ถั่วเหลืองและผลิตผลจากถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ หอย กุ้ง คอตเตจชีส นม ถั่ว อัลมอนด์ ถั่วลิสง งา เมล็ดฟักทอง

B 1 ข้าวซ้อมมือ รำข้าว ข้าวสาลีไม่ขัดขาว ข้าวโอต ถั่วลิสง เนื้อหมู ผัก นม

B 6 ข้าวซ้อมมือ ข้าวสาลีไม่ขัดขาว จมูกข้าว ตับ แคนตาลูป กะหล่ำปลี โมลาส นม ไข่ เนื้อ

B 12 ตับ เนื้อสัตว์ ไข่ นม เนย

DNA / RNA จมูกข้าว รำข้าว ผักโขม หน่อไม่ฝรั่ง เห็ดทุกชนิด ปลา ตับไก่ ข้าวโอต หัวหอม

จะเห็นว่าอาหารบางอย่าง มีทั้งตัวยา วิตามินและแร่ธาตุครบ เช่น ข้าวซ้อมมือ นอกจากจะมีสารอาหารครบหมู่แล้ว ยังมีทั้ง Folic Acid , Niacin , Zinc , B 1 , B 6 , และ DNA / RNA และแร่ธาตุอื่นๆเกือบจะครบถ้วน

สาหร่ายแหล่งอาหารมีคุณ

สาหร่ายกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในคนหลายวัย มีทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากจีน ญี่ปุ่น ที่กำลังมาแรงคือสาหร่ายจากเกาหลี ส่วนใหญ่เป็นของกินเล่น เคี้ยวเพลิน สาหร่ายมีอยู่ทั้งในน้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม น้ำพุร้อน หิมะหรือที่ขึ้นตามต้นไม้ แต่สาหร่ายที่นำมาเป็นอาหาร ได้แก่ สาหร่ายทะเล และสาหร่ายน้ำจืด

สาหร่ายเป็นแหล่งของโปรตีนคล้ายเนื้อสัตว์ ชาวญี่ปุ่นและชาวจีนเป็นชาติแรกๆ ที่เห็นคุณค่าของสาหร่าย อาหารญี่ปุ่นมีเมนูอาหารที่ใช้มีสาหร่ายมากมาย ส่วนอาหารจีนก็เช่นเดียวกัน คนจีนเรียกสาหร่ายทะเลว่า “ จีฉ่าย ” นอกจากปรุงอาหารแล้ว สมัยนี้ยังนิยมนำมาทำเป็นขนมปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลือง น้ำตาล พริกไทย หรือเครื่องปรุงรสต่างๆ สาหร่ายเหล่านี้จะเป็นสายพันธุ์ Porphyra ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า nori เป็นสาหร่ายสีแดง ส่วนอีกสายพันธุ์สายพันธุ์ Laminaria เป็นสาหร่ายสีน้ำตาล

คุณค่าสารอาหารของสาหร่าย

สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลได้ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของสาหร่ายทะเล ทั้งชนิดแผ่นกลมไม่ปรุงรส (จีฉ่าย) ที่นิยมนำมาประกอบอาหาร และสาหร่ายปรุงรสชนิดบรรจุซอง โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ จากการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ พบว่ามีโปรตีนระหว่าง 10-40 กรัมต่อสาหร่าย 100 กรัม (1 ขีด) ซึ่งถ้าเทียบกับอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี เช่น เนื้อสัตว์ที่นำมาทำแห้ง เช่น เนื้อวัวอบแห้ง – หมูแผ่น- กุ้งแห้ง ซึ่งจะมีโปรตีนปริมาณ 50-11- 60 กรัมตามลำดับ ก็จัดได้ว่าสาหร่ายทะเลแห้งชนิดแผ่นสามารถ เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน จีฉ่ายที่นิยมนำมาประกอบอาหารมีปริมาณโปรตีนสูงที่สุด เมื่อเทียบกับสาหร่ายชนิดปรุงรส นอกจากนี้คุณค่าใยอาหาร (Dietary fiber) พบว่ามีสูงตั้งแต่ 27-41 กรัมต่อสาหร่าย 100 กรัม และถ้ากินจีฉ่ายแผ่นกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 22 ซม. 1-5 แผ่นต่อวันจะได้รับใยอาหารคิดเป็นร้อยละ 7 ของความต้องการใยอาหารต่อวัน แต่ถ้าเด็กๆ กินสาหร่ายแบบแผ่นปรุงรส (ขนาด 8.5 ซม. X 3.0 ซม.) ก็ต้องกินเกือบ 30 แผ่น (ประมาณ 7 ซอง) ต่อวันจึงจะได้เส้นใยอาหารในปริมาณเท่ากัน ดังนั้นควรรับประมานแบบไม่ปรุงรสที่นำมาประกอบอาหารจะให้คุณค่ามากกว่า

นอกจากนี้สาหร่ายยังมีไขมัน แป้ง และน้ำตาลจัดว่าน้อยมาก ซึ่งน่าจะเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก หรือผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง หรือเด็กที่ชอบกินจุบจิบ เช่น ขนมกรุบกรอบที่มีแป้ง น้ำตาล และไขมันสูง นอกจากนี้สาหร่ายยังมีโปรตีน และให้พลังงานโดยรวมอยู่ระหว่าง 382-366 กิโลแคลอรีต่อสาหร่าย 100 กรัม ดังนั้นถ้ากินสาหร่ายปรุงรส 1 ซอง ซึ่งบรรจุสาหร่ายขนาด 8.5 ซม. X 3.0 ซม. 4 แผ่น จะได้พลังงานไม่ถึง 5 กิโลแคลอรี

แหล่งไอโอดีนที่สำคัญ

สาหร่ายทะเลจัดเป็นพืชที่เป็นแหล่งของไอโอดีนที่ดี แต่ปริมาณไอโอดีนมักจะแตกต่างกัน ตามแหล่งผลิตที่ต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นสาหร่ายทะเลปรุงรสหรือไม่ปรุงรสก็พบว่ามีปริมาณไอโอดีนค่อนข้างสูง การกินสาหร่ายทะเลชนิดไม่ปรุงรส เพียง 1/8 ส่วนของจีฉ่าย 1 แผ่น (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 22 ซม.) ใน 1 วัน โดยนำมาเป็นส่วนประกอบในอาหาร จะได้รับไอโอดีนเพียงพอต่อความต้องการไอโอดีนต่อวัน ในขณะที่ถ้าเป็นสาหร่ายปรุงรสบรรจุซองที่เด็กๆ นิยม ถ้าจะกินเพื่อให้ได้ปริมาณไอโอดีน 100 % ตามที่ร่างกายต้องการต่อวัน จะต้องกินมากกว่า 50 แผ่น ซึ่งเป็นปริมาณที่ค่อนข้างมาก ถ้าจะให้แนะนำก็ต้องกินเป็นของว่างประกอบกับอาหารที่เป็นแหล่งไอโอดีนชนิดอื่นๆ ด้วย หรือจะให้ดีกินสาหร่ายชนิดไม่ปรุงรส (จีฉ่าย) ที่ปรุงอาหารบ่อยๆ ก็ทำให้ได้รับไอโอดีนเพียงพอแล้ว ราคาก็ไม่แพง หาซื้อง่าย

ผงชูรสในสาหร่ายปรุงรส

ในสาหร่ายปรุงรสบรรจุซองมีปริมาณผงชูรส หรือโมโนโซเดียมกลูตาเมสสูงกว่าจีฉ่ายประมาณ 2-7 เท่า ถ้าเทียบที่ปริมาณเท่ากัน ถ้าเกรงว่าเด็กจะกินสาหร่ายปรุงรสมากๆ แล้วจะได้รับผงชูรสมากเกินไป ก็คงไม่ต้องกลัวมากไป หากลูกของคุณกินไม่มากเกินวันละ 10 ซองต่อวัน ก็คงไม่เป็นปัญหาเพราะปริมาณที่มีอยู่ยังไม่จัดว่ามากจนเป็นอันตราย แต่หากใครที่มีอาการของการแพ้ผงชูรสได้ง่าย ก็คงต้องเลี่ยงมากินแบบไม่ปรุงรสดีกว่า

ส่วนโซเดียมในสาหร่ายปรุงรสจะมีมากกว่าจีฉ่าย 2-4 เท่า แต่ปริมาณที่มีอยู่ในสาหร่ายปรุงรสถ้าเทียบกับปริมาณที่สามารถกินได้ใน 1 วัน (ประมาณ 8 ซองเล็ก) ก็ไม่ได้ทำให้เสี่ยงต่อการได้รับโซเดียมมากเกินไป แต่ไม่เหมาะต่อผู้ที่มีความดันโลหิตสูง และโรคไต

กินสาหร่ายชนิดไม่ปรุงรสดีกว่า

จากการวิจัยพบว่าปริมาณที่คนส่วนใหญ่กินต่อ 1 ครั้ง ถ้าเป็นสาหร่ายปรุงรสจะประมาณ 3 ซองเล็ก (12 แผ่น) หรือถ้าเป็นแผ่นใหญ่ ขนาด 9.5 ซม. X 8.5 ซม. ประมาณ 1 ซองครึ่ง (6 แผ่น) ถ้าเป็นจีฉ่ายนำมาประกอบอาหาร 1 ครั้ง ต่อแกงจืด 1 ถ้วย สำหรับ 1 คน ก็ประมาณ 1/5 แผ่นกลม ถ้าเทียบที่ปริมาณที่คนเรากินต่อวันใน 1 ครั้ง จะได้โปรตีน ใยอาหาร และไอโอดีนสูงกว่า ในขณะที่ปริมาณโซเดียมและโมโนโซเดียมกลูตาเมสต่ำกว่าสาหร่ายปรุงรสชนิดบรรจุซอง

สาหร่ายอัดเม็ด : อาหารเสริมราคาแพง

ส่วนสาหร่ายอีกชนิดหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสาหร่ายอัดเม็ดที่ขายตามร้านขายยาหรือร้าน Health shop ต่างๆ ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จากทะเล แต่เป็นสาหร่ายน้ำจืดนำมาอัดเม็ดบรรจุขวดขาย ราคาค่อนข้างแพง มักใช้กลยุทธ์การขายตรง ถ้าเป็นสาหร่ายเซลล์เดียวเรียกว่า chlorella ถ้าสาหร่ายหลายเซลล์เรียกว่า Spirulina หรือสาหร่ายเกลียวทอง สาหร่ายพวกนี้จะถูกเลี้ยงในอาหารเลี้ยงที่มีส่วนผสม lecithin หรือทำเป็นน้ำเชื่อมโดยผสมกับน้ำผึ้ง สารอาหารที่เด่นก็คือ โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอจะมีอยู่มาก แต่ที่ต้องระวังในการกินคือมีกรดนิวคลีอิกสูงมาก โดยเฉพาะพบสูงมากในสาหร่ายเกลียวทอง การรับประทานในปริมาณมากจะเสี่ยงต่อโรคเก๊าท์ เช่นเดียวกับพวกที่กินเครื่องในสัตว์ และสาหร่ายน้ำจืดจะไม่เป็นแหล่งของไอโอดีน อันนี้คือข้อแตกต่างจากสาหร่ายทะเล การเลือกซื้อมารับประทานคงต้องคำนึงถึงราคาด้วย เพราะจุดเด่นที่มีมากคือเบต้าแคโรทีน ซึ่งก็จะมีมากในผักผลไม้ที่มีสีส้ม เหลือง หรือผักใบเขียว เช่น ตำลึง แครอท ซึ่งราคาถูกกว่า ดังนั้นรับประทานผัก ผลไม้คงจะประหยัดคุณค่าดีกว่า

ไม่ว่าคุณจะเลือกกินสาหร่ายชนิดใดนอกจากจะคำนึงถึงรสชาติแล้ว คุณค่าทางโภชนาการก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาประกอบด้วย เทียบกับความคุ้มค่าเงินที่ต้องจ่ายไป นอกจากนี้ มาตรฐานของสาหร่ายจากต่างแหล่งที่มาและแหล่งผลิตยังไม่เป็นที่ยืนยันความปลอดภัยของสารปนเปื้อน ดังนั้นการกินอาหารที่หลากหลายน่าจะเป็นประโยชน์ที่สุด

เห็ด อาหารน่ามหัศจรรย์

ที่ว่าเห็ดเป็นอาหารน่ามหัศจรรย์นั้น จากฤดูการเกิดก็ไม่เหมือนกับพืชผักชนิดอื่นๆ ใช้เวลาเพาะเพียงสั้นๆ แต่ได้จำนวนมากมายดาษดื่น ถึงเวลางอกงามแต่ละทีก็ผุดขึ้นราวกับตั้งนาฬิกาปลุกธรรมชาติ พอใกล้เวลาก็มุดหายลงดิน เก็บตัวเงียบรอเวลาอีกครั้ง คนเก็บจะต้องมีความชำนาญ รู้ลักษณะ รู้ชนิด รู้ต้นตอแหล่งกำเนิด เพราะเห็ดบางชนิดเห็นหน้าตาสวยงาม อาจกลายเป็นเห็ดมีพิษ ใครไม่รู้จริงเผลอนำไปรับประทานเป็นได้เดือดร้อนกันแน่

ปัจจุบันเห็ดที่เรานิยมรับประทานกันมีอยู่มากมายหลายชนิด มีทั้งแบบสด บรรจุกระป๋อง หรือแม้แต่เห็ดตากแห้ง ความนิยมในการรับประทานมีมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยรูปแบบ และรสชาติเฉพาะตัวที่แตกต่างจากอาหารประเภทพืชผักด้วยกัน รวมทั้งการที่คนหันมานิยมรับประทานอาหารแบบมังสวิรัติกันมากขึ้น ก็ทำให้เห็ดถูกนำมาใช้ปรุงอาหารแทนเนื้อสัตว์มากขึ้นตามไปด้วย มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่าเห็ดมีคุณสมบัติป้องกันโรคได้

ในประเทศจีน และญี่ปุ่น นิยมนำเห็ดมาปรุงเป็นน้ำแกง น้ำชา ยาบำรุงร่างกาย และยารักษาโรคต่างๆ มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดมากว่า 30 ปียืนยันว่าในเห็ดมีสารบางอย่างที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยในการต้านมะเร็งหลายๆ ชนิดด้วย

ในสหรัฐอเมริกาก็มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดเช่นกันได้ผลออกมายืนยันการค้นพบแบบเดียวกับชาวเอเชีย แต่สำหรับการวิจัยถึงผลการใช้เห็ดเป็นยารักษาโรคนั้นยังคงอยู่ในขั้นแรกๆ เท่านั้น

เห็ดที่นักวิทยาศาสตร์นิยมเอามาวิเคราะห์เพื่อการวิจัยนั้นส่วนใหญ่เป็นเห็ดชนิดที่คนมักนำมาปรุงอาหาร และหาได้ง่าย เช่น เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม เห็ดกระดุมหรือแชมปิญอง เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดโคน เห็ดหูหนู หรือ เห็ดหลินจือ อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าเห็ดแชมปิญอง (White mushroom) มีบทบาทช่วยในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุด เมื่อเทียบกับเห็ดรับประทานได้ชนิดอื่นๆ โดยสารบางอย่างในเห็ดชนิดนี้ไปช่วยยับยั้งเอ็นไซม์ aromatase ทำให้เกิดการยับยั้งการแปรฮอร์โมนแอนโดรเจนให้กลายเป็นเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมด ประจำเดือน เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย

ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการทดลองนำเห็ดหอมมาสกัด พบว่าในเห็ดหอม ให้น้ำตาลโมเลกุลขนาดใหญ่ (mega-sugar) ที่เรียกว่า เบต้ากลูแคนส์ (beta-glucans) ถึง 2 ชนิด ได้แก่ lentinan และ LEM (Lentinula edodes mycelium) ซึ่งช่วยทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับการติดเชื้อ และชะลอการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งในการทดลองให้สาร lentinan กับผู้ป่วยมะเร็งร่วมกับการทำเคมีบำบัดก็พบว่าก้อนมะเร็งมีขนาดลดลง และอาการข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัดก็เกิดขึ้นน้อยลงด้วย

ขณะนี้ทีมวิจัยในญี่ปุ่นกำลังมองหาความเป็นไปได้ในการใช้ LEM ที่ได้จากเห็ดหอมมาบำบัดผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV และยังพบอีกว่า สารสกัดจากเห็ดหอมอีกตัวหนึ่ง ชื่อ eritadenine เป็นตัวช่วยลดปริมาณไขมันในเลือดและระดับโคเลสเตอรอลให้กับร่างกายได้อีกด้วย

หลากหลายพันธุ์เห็ดรสอร่อย

เห็ดนำมาปรุงอาหารให้อร่อยได้หลากหลายวิธี ทั้งต้มน้ำแกง ผัด ยำ ย่าง หรือทอด ที่เห็นมากในบ้านเรา ได้แก่

เห็ดหอม

มีทั้งแบบเนื้อบางและหนา คนนิยมนำเห็ดหอมตากแห้งมาปรุงอาหารเพราะให้กลิ่นหอมมากกว่าแบบสด ซึ่งก่อนปรุงต้องลวกในน้ำเดือดประมาณครึ่งชั่วโมง หรือแช่น้ำอุ่นประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือข้ามคืน ช่วยให้เนื้อเห็ดนุ่มขึ้น น้ำแช่เห็ดหอมนี้ยังเก็บเอาไปทำเป็นน้ำสต๊อกปรุงรสอาหารได้ด้วย คนนิยมนำมาปรุงอาหารเจ เพราะเนื้อนุ่มเหนียวและกลิ่นหอมชวนกิน ชาวจีนยกให้เห็ดหอมเป็นอาหารตำรับ “ อมตะ ” เพราะคุณสมบัติความเป็นยาบำรุงกำลัง และบรรเทาอาการไข้หวัด การไหลเวียนเลือดไม่ดี ปวดกระเพาะอาหาร รวมทั้งอาการเหนื่อยอ่อนเพลีย ซึ่งเห็ดหอมนี้จะให้โปรตีนได้มากกว่าเห็ดแชมปิญองถึง 2 เท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินบี ซีลีเนียม และธาตุอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ช่วยบำรุงกระดูกแข็งแรง ลดไขมันในเลือด และต้านโคเลสเตอรอล

เห็ดหูหนูดำ

นอกจากเห็ดหูหนูดำแล้วยังมีเห็ดหูหนูขาวเนื้อกรุบกรอบคล้ายๆ กัน แถมยังมีสีขาวน่ารับประทานมากกว่า ตามร้านเย็นตาโฟนิยมนำมาใช้แทนแมงกะพรุน หรือต้มเป็นสุกี้หรือทำยำรวมมิตรก็อร่อยไม่น้อย

เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า และเห็ดเป๋าฮื้อ

เห็ดสามอย่างนี้อยู่ในตระกูลเดียวกัน เจริญเติบโตเป็นช่อๆ คล้ายพัด เห็ดนางรมมีสีขาวอมเทา เห็ดนางฟ้าจะมีสีขาวอมน้ำตาล ขณะที่เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำและเนื้อเหนียวหนา และนุ่มอร่อยคล้ายเนื้อสัตว์มากกว่า จึงมักถูกจัดเป็นอาหารจานหรูเมนูจักรพรรดิ์ ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถป้องกันโรคหวัด ช่วยการไหลเวียนเลือด และโรคกระเพาะอาหาร เห็ดนางฟ้าและเห็ดนางรมผิวเรียบนุ่ม รสชาติก็นุ่ม นำมาปรุงได้หลายแบบทั้งผัด ชุบแป้งทอด หรือแม้แต่ย่างก็ให้รสชาติดี แต่ไม่ควรใช้ไฟแรงเพราะจะทำให้เนื้อสัมผัสหมดไป

เห็ดฟาง

เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าวชื้นๆ โคนมีสีขาว ส่วนหมวกสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดตลอดทั้งปี ให้วิตามินซีสูง และมีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิด เชื่อว่าหากรับประทานประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลดการติดเชื้อต่างๆ แต่ก็ไม่ควรรับประทานสดๆ เพราะมีสารที่คอยยับยั้งการดูดซึมอาหาร ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการผื่นคันต่างๆ

เห็ดหลินจือ

นอกจากใช้รับประทานแล้ว ปัจจุบันยังมีการนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางอีกด้วย เพราะมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย และกระตุ้นภูมิคุ้มกันไวรัส แถมยังมีฤทธิ์แก้อักเสบ ลดความดันเลือด แก้ปวดศีรษะ รวมทั้งลดไขมันในเส้นเลือดด้วย

เห็ดเข็มทอง

เป็นเห็ดสีขาวหัวเล็กๆ ขึ้นติดกันเป็นแพ รสชาติเหนียวนุ่ม นำมารับประทานแบบสดๆ ใส่กับสลัดผักก็ได้ ถ้าชอบสุกก็นำไปย่าง ผัดหรือลวกแบบสุกี้

เห็ดกระดุม หรือเห็ดแชมปิญอง

รูปร่างกลมมน ผิวเนื้อนุ่มนวล มีให้เลือกทั้งแบบสด หรือบรรจุกระป๋อง

เห็ดโคลน

เป็นเห็ดหายาก รสอร่อย ที่จะมีให้รับประทานเฉพาะในหน้าฝน บางคนจึงนิยมนำมาทำเป็นเห็ดดองเพื่อเก็บไว้รับประทานตลอดปี

นานาสารอาหารจากเห็ด

เห็ดเป็นอาหารที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาล และเกลือต่ำมาก แถมยังเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงเมื่อเทียบกับโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี วิตามินบีรวม

ซีลีเนียม โปแตสเซียม และทองแดง จึงเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงที่ควรเลือกรับประทานเป็นประจำ ซีลีเนียม เป็นสารอาหารที่ช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับวิตามินอี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและโรคภัยต่างๆ ที่มากับวัยสูงอายุ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การรับประทานเห็ดหอม (ชิ้นขนาดกลางๆ 5 ชิ้น) จะให้ซีลีเนียมประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน นอกจากในเห็ดแล้ว ยังมีอยู่ในธัญพืช และเนื้อสัตว์ด้วย

โปแตสเซียม เป็นสารอาหารที่จำเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ความสมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาทต่างๆ ทาง FDA ของสหรัฐอเมริการะบุไว้ว่าการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของโปแตสเซียมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความดันเลือดสูง และอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งในเห็ดนั้นมีโปแตสเซียมสูง และโซเดียมต่ำ การรับประทานอาหารที่ปรุงจากเห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง 1 จานจะให้โปแตสเซียมได้พอๆ กับส้มหรือมะเขือเทศลูกโตๆ เลยทีเดียว

วิตามินบีรวม ในเห็ดขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีรวม ไม่ว่าจะเป็น ไรโบฟลาวิน (ที่นอกจากจะได้จากเห็ดแล้ว ยังมีมากในเครื่องในสัตว์ นม ไข่ และเต้าหู้) ช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณและการมองเห็น ขณะที่ไนอาซิน (ยังพบมากในปลาทูน่า เนื้อแดง ถั่วลิสง และอะโวคาโด) จะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบประสาท สถาบันอาหารแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประมาณไว้ว่า การรับประทานเห็ดแชมปิญองขนาดกลางๆ 5 ชิ้น จะได้ปริมาณไรโบฟลาวินมากพอๆ กับการดื่มนมสดถึง 8 ออนซ์

ทองแดง เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการเช่นเดียวกันเพื่อมาช่วยเสริมการทำงานของธาตุเหล็ก

แล้วคุณล่ะ ชอบรับประทานเห็ดชนิดไหน อย่าลืมเลือกสรรเห็ดมาปรุงอาหารอร่อยๆ กันเป็นประจำ เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณและครอบครัว

ข้าวกล้อง วิตามิน...เพียบ

ข้าวกล้องคืออะไร ?
คือข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก

สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆ กันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไป จนเหลือแต่เนื้อในของข้าว

ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง

ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไปประมาณ 30%

ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง

•ได้วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร
•ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้
•ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก
•ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
•ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
•ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน
•ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
•ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
•ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล
•ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา (โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)
•ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย
•ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย
•วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้าวกล้องมีอะไรดีกว่าข้าวขาว

ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่าช่วยป้องกันโลหิตจาง

•ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินเป็นประจำ จะป้องกันโรคเหน็บชา
•วิตามินบี 2 มีมากจะป้องกันโรคปากนกกระจอก
•วิตามินบีรวม มีมากกว่าจะป้องกัน และบรรเทาอาการอ่อนเพลียและขาไม่มีแรง อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ ลิ้นแตกหรือมีแผล ริมฝีปากเจ็บหรือมีแผล โรคผิวหนังบางชนิด โรคปลายประสาทอักเสบ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทบางชนิด
•วิตามินบีรวม ยังบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้นและเจริญอาหาร
•ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโลหิตจาง
•แคลเซียม มีมากกว่า จะทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
•ไขมัน มีมากกว่าให้พลังงานแก่ร่างกาย
•กากอาหาร มีมากกว่าจะช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
•เกลือแร่และวิตามินต่างๆ ในข้าวกล้อง มีรวมกัน 20 กว่าชนิด มีหน้าที่ทำให้การทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
•โปรตีน มีมากกว่าช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
•แป้ง (คาร์โบไฮเดรต) มีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมจะสมบูรณ์ขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น
•ประหยัดเงินทอง เพราะเจ็บป่วยน้อยกว่า ข้าวกล้องจะมีราคาถูกกว่า เพราะต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า
•มีผลทำให้สุขภาพจิตและสติปัญญาดีขึ้น เพราะสุขภาพกายดีขึ้น

ปริมาณสารอาหารในข้าวขาวกับข้าวกล้อง

ผลเสียของการกินข้าวขาว

โรคและอาการต่างๆ ต่อไปนี้ จะลดลงมากหรือป้องกันได้ ถ้ากิน ข้าวกล้อง เป็นประจำ และกินอาหารเพียงพอและถูกหลัก

•โรคเหน็บชา เพราะขาดวิตามิน-บี 1 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 1 มากกว่าข้าวขาว 385% (พบมากในประเทศที่กินข้าวขาวเป็นอาหารหลัก)
•โรคปากนกกระจอก เพราะขาดวิตามิน-บี 2 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 2 มากกว่าข้าวขาว 66% (ตามชนบทมีเด็กเป็นโรคปากนกกระจอก 60%)
•โรคโลหิตจาง เพราะขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากข้าวกล้องมีธาตุเหล็กมากกว่าข้าวขาว 2 เท่า (ประชากรไทยเป็นโรคโลหิตจาง 40%)
•โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (พบมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี) เกี่ยวเนื่องจากมาจากการขาดธาตุฟอสฟอรัส และอื่นๆ ซึ่งมีในข้าวกล้อง นอกจากนั้น ฟอสฟอรัสยังช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟันอีกด้วย
•โรคท้องผูก เพราะมีกากอาหารน้อย ข้าวกล้องมีกากอาหารมากกว่า 133% (ข้าวกล้องช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่)
•โรคทางระบบประสาทบางชนิด และโรคปลายประสาทอักเสบ เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง (วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้น และเจริญอาหาร)
•อารมณ์เสียง่ายกว่า หงุดหงิดเพราะชาดวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินที่เสริมสร้างระบบประสาทของร่างกาย และถ้าระบบประสาทของเราไม่ดี ทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีนัก
•เบื่ออาหาร เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งข้าวกล้องมีมากกว่าข้าวขาว
•โรคขาดโปรตีน ข้าวกล้องมีโปรตีน ร้อยละ 7-12 (เด็กไทยประมาณร้อยละ 40-60 เป็นโรคขาดโปรตีนและพลังงาน) ข้าวกล้องมีโปรตีนมากกว่าข้าวขาว 20-30%
•โรคผิวหนังบางชนิด ขาดวิตามินบีบางตัว
•อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ ปวดเมื่อยตามตัวและขา เพราะขาดวิตามินบีรวม
•โรคชัก เนื่องจากขาดวิตามิน บี 6 ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง
•ข้าวขาวมีแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) พอๆ กับข้าวกล้อง แต่มีเกลือแร่และวิตามินต่างๆ น้อยกว่าข้าวกล้อง (ในข้าวกล้องจะมีวิตามินรวมกัน 20 กว่าชนิด) ที่ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์

จะเห็นได้ว่า ผลเสียของการกินข้าวขาวมีมาก เพราะการขัดสีส่วนที่มีคุณค่าต่อร่างกายออกไป หลายท่านอาจจะกินข้าวขาว เพราะไม่รู้ว่ายังมีข้าวที่มีคุณค่ามากอย่างข้าวกล้องอยู่ จนบางคนไม่เคยรู้จักข้าวกล้องด้วยซ้ำ คนสมัยโบราณแต่ละบ้านจะตำข้าวกินเอง ซึ่งเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ ซึ่งก็คือ ข้าวกล้อง คนสมัยก่อนจึงมีร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคอย่างที่คนสมัยนี้เป็นกันเท่าไร เช่น โรคเบาหวาน, หัวใจวาย, มะเร็ง ฯลฯ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะการกินไม่เป็น

เบาหวาน VS ดัชนีน้ำตาลในอาหาร

ผู้ที่เป็นเบาหวานจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ โดยมักจะได้รับคำแนะนำให้ควบคุมอาหารร่วมกับการใช้ยา เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่คนที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ก็จะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนตามมา เช่น เกิดความพิการของจอรับภาพทำให้ตามัว เกิดต้อกระจกหรือต้อหิน ไตวาย หรืออาจพบความพิการของประสาทส่วนปลาย ทำให้มีอาการชา ปลายมือปลายเท้า ทำให้เมื่อเกิดแผลอักเสบอาจไม่รู้สึกเจ็บ โดยเฉพาะที่เท้า ดังนั้นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น การควบคุมชนิดและปริมาณ ของอาหารคาร์โบไฮเดรต หรืออาหารประเภทแป้ง ก็จะช่วยให้ผู้ที่เป็นเบาหวาน สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

อาหารคาร์โบไฮเดรตมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดอย่างไร

เมื่อคนเรารับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต เช่น แป้ง เผือก มัน น้ำตาล ขนมหวาน หรือผลไม้ คาร์โบไฮเดรตในอาหารเหล่านี้ จะถูกย่อยโดยน้ำย่อยในทางเดินอาหาร จนได้เป็นกลูโคส ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดเล็ก สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อนำไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อนำอาหารแต่ละชนิดมาเปรียบเทียบกัน โดยให้มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเท่ากัน ปรากฎว่าอาหารแต่ละชนิดจะถูกย่อย และถูกดูดซึมเข้าร่างกายในอัตราที่แตกต่างกัน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นต่างกัน ได้มีการศึกษาหาปริมาณน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่เพิ่มขึ้น หลังจากได้รับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 50 กรัม เปรียบเทียบกับปริมาณน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่เพิ่มขึ้น หลังจากได้รับอาหารมาตรฐาน (คือกลูโคสหรือขนมปัง) ค่าที่ได้นี้เรียกว่าดัชนีน้ำตาล (glycemic index) ค่าดัชนีน้ำตาลของกลูโคสจะมีค่าเท่ากับ 100 ดังนั้น ถ้าอาหารใดมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำกว่า 100 แสดงว่าคาร์โบไฮเดรตในอาหารนั้น ถูกดูดซึมได้น้อยกว่าอาหารมาตรฐาน ค่าดัชนีน้ำตาลของอาหารจะแบ่งเป็น 3 ระดับ

อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ( ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำกว่า 55)

อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลปานกลาง ( ค่าดัชนีน้ำตาล 55 - 70)

อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง ( ค่าดัชนีน้ำตาลมากกว่า 70)

ค่าดัชนีน้ำตาลของอาหารแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน ขึ้นกับ...

•ชนิดของคาร์โบไฮเดรต ที่เป็นส่วนประกอบของอาหาร

•กระบวนการแปรรูปอาหาร เช่น การหุงต้ม ทำให้อาหารพวกแป้งถูกย่อยและดูดซึมได้ดีขึ้น การแปรรูปอาหารมีผลต่อค่าดัชนีน้ำตาลของอาหาร เนื่องจากการให้ความร้อนกับแป้งที่มีน้ำอยู่ด้วย แป้งจะดูดซับน้ำและพองตัว ทำให้น้ำย่อยสามารถย่อยแป้งให้เป็นกลูโคสได้เร็วขึ้น ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงกว่าการรับประทานแป้งที่ไม่ผ่านความร้อน การบดอาหาร เช่น ข้าวที่ผ่านการบดจะถูกย่อยและถูกดูดซึมได้เร็วกว่าข้าวที่ไม่ผ่านการบด

•ส่วนประกอบในอาหาร เช่น การรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตพร้อมกับอาหารที่มีไขมันและโปรตีนจะทำให้ การดูดซึมกลูโคสเข้ากระแสโลหิตช้าลง ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้นช้าลง หรือการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงๆ เช่น การรับประทานข้าวซ้อมมือ หรือการรับประทานผักผลไม้เพิ่มขึ้น จะชะลอการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือด


ปัจจุบันพบว่าการรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงในปริมาณมาก จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็งบางชนิดได้ การรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตที่ค่าดัชนีน้ำตาลสูงในปริมาณมาก จะทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงขึ้น ทำให้ความต้องการอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนำกลูโคสเข้าไปเผาผลาญในเซลล์เพิ่มขึ้น การรับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง จึงเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และใน ผู้ที่เป็นเบาหวาน
การรับประทานคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ แทนคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง จะช่วยให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำได้ง่ายๆ โดยการรับประทานธัญพืชหรือข้าวซ้อมมือแทนแป้งหรือข้าวที่ขัดสี


ดังนั้น ผลจากการที่รับประทานอาหาร ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงในปริมาณมาก คาร์โบไฮเดรตในอาหาร จะถูกย่อยเป็นกลูโคส และถูกดูดซึมอย่างรวดเร็ว มีผลไปกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้กลูโคสถูกนำเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ในร่างกายเพื่อเผาผลาญให้เป็นพลังงาน แต่หลังจากการรับประทานอาหารไปแล้ว 2-4 ชั่วโมง ปริมาณอาหารที่ถูกดูดซึมในทางเดินอาหารลดลง แต่ฤทธิ์ของอินซูลินยังคงอยู่ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมาก จนอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ และทำให้รู้สึกอยากอาหาร
ส่วนคนที่รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ
ระดับน้ำตาลในเลือดยังคงอยู่ในระดับปกติ หลังจากการรับประทานอาหาร 4-6 ชั่วโมง ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนบางชนิดออกมา เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ โดยกระตุ้นการสลายกลัยโคเจนซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในร่างกาย และเพิ่มการสร้างกลูโคสจากแหล่งอาหารอื่น เช่น ไขมัน การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง จึงมีผลให้ระดับกรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้นมากกว่า การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ก็จะสามารถควบคุม ระดับน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำจะทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ในขณะที่อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงจะทำให้อยากอาหารมากขึ้น

อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และยังช่วยลดระดับไขมันในเลือด เพื่อสุขภาพที่ดี เราจึงควรหันมาเลือกรับประทาน อาหารคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ถ้าจะเลือกอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง ก็ควรรับประทานร่วมกับอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เลือกรับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปน้อยที่สุด เช่น รับประทานข้าวซ้อมมือแทนข้าวที่ขัดสี หรือขนมปังโฮลวีทแทนขนมปังขาว รับประทานผลไม้ทั้งผล เช่น ส้ม แทนที่จะรับประทานน้ำส้มคั้น ซึ่งพฤติกรรมนี้จะช่วยลดโอกาสเสี่ยง ของการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคอ้วนได้ด้วย

อย่างไรก็ตามค่าดัชนีน้ำตาลเป็นเพียงส่วนหนึ่งของทางเลือกในการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี แต่หลักสำคัญที่ต้องไม่ลืมก็คือการรับประทานอาหารตรงเวลา รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย จำกัดน้ำตาลและของหวาน ลดอาหารที่มีไขมันสูง รับประทานผักให้มากรับประทานผลไม้เป็นประจำ และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว

สวยใสจากภายใน ด้วย 4 อาหารผิว

Antiaging Medicine หรือการรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง ทั้งในประเทศอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ส่วนใหญ่สารอาหาร ดังกล่าวจะคัดสรร สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ การเลือกรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของสารต่อต้านความชราจึงเป็นอีกทางเลือกของความสวยที่เราสามารถ ทำได้ด้วยตัวเอง ไม่มีคำว่าช้าเกินไป แต่ใครเริ่มเร็วกว่าก็ยิ่งยืดความอ่อนเยาว์ให้ตัวเองได้ยาวนานกว่า และนี่คือสารอาหารที่จะช่วยคงความงามแห่งผิวพรรณจากภายใน สู่ภายนอก ที่เราขอแนะนำ

Niacin / Vitamin B3
ไนอาซินหรือวิตามินบี 3 เป็นวิตามิน ตัวเดียวที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน ช่วยบำรุงสมองและประสาท รักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ไนอาซินมีในอาหารทั่วไปที่ได้จากสัตว์และพืช แหล่งที่มีมากคือ เนื้อสัตว์, เนื้อปลา, ถั่ว, ข้าว, เครื่องในสัตว์ แหล่งที่มีปานกลางได้แก่ มันฝรั่ง, ธัญพืช, แหล่งที่มีน้อยคือ น้ำนม, ไข่, ผัก และผลไม้

วิตามินเอ
วิตามินเอ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ เรตินอยด์ (Retinoids) และแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง การซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป นอกจากนี้วิตามินเอยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนัง และเป็นสารสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวหนังมีการทำงานอย่างปกติ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งและเสริมสุขภาพตา แหล่งอาหารที่พบคือ ไข่, นม, เนย, ปลาแซลมอน, ปลา Halibut, ผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี, ผักโขม, แอสพารากัส, มะละกอ, แคนตาลูป, มะเขือเทศ, ฟักทอง

วิตามินบี-คอมเพล็กซ์
วิตามินในกลุ่มนี้ มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังเป็นอย่างมาก ช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานภายในเซลล์ เช่น วิตามินบี 2 ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินบี 3 ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และทำให้ผิวหนังไม่ซีด วิตามินบี 12 ช่วยในการแบ่งเซลล์ วิตามินบี 9 ช่วยในเรื่องการแบ่งและเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้ กรดโฟลิกยังช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง แหล่งอาหารที่พบมากคือ บร็อกโคลี, มันฝรั่ง, เห็ด, แครอท, มะเขือเทศ, กะหล่ำปลี, ผักโขม, กล้วย, แอปเปิ้ล, มะเขือ, ผลไม้ในกลุ่มส้ม, ไข่, เนื้อไก่, เนื้อปลาแซลมอน และปลาทูน่า

Vitamin C
วิตามินซีเป็น สารอาหารสำคัญที่ช่วยในการสังเคราะห์และช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน ทั้งนี้คอลลาเจนจะไม่สามารถทำงานได้หากขาดวิตามินซี นอกจากนี้วิตามินซียังมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ การ ใส่ใจดูแลตัวเองด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สม่ำเสมอ นับเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความงามที่พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ WP ก็เชื่อว่า ถ้าเรามีความตั้งใจจริงก็สามารถสร้างสรรค์ตัวเองให้ดูสวยอ่อนเยาว์ได้โดยไม่ ต้องพึ่งเทคนิคศัลยกรรม ยิ่งโดยเฉพาะในยุคนี้ มีอาหารเสริมวิตามินรสชาติอร่อยมากมายมาให้เลือกเป็นทางลัดด้วยแล้ว ยิ่งสบาย งั้นเรามาเริ่มกแนและดื่มเพื่อผิวพรรณกันตั้งแต่ปลายปีนี้เลย...ดีไหม

7 สิ่งกินแล้วเด็กลง

7 สิ่งกินแล้วเด็กลง

อาหาร 7 อย่างต่อไปนี้จะช่วยชะลอสัญญาณแห่งวัยดึก ทั้งผมร่วง ผิวแห้ง เฉื่อยชาให้ ดูอ่อนเยาว์ขึ้นภายใน 3 - 6 เดือน

หยุดผมร่วง รับประทานกล้วย ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินบี มีสรรพคุณป้องกันผมร่วงได้ดี การรับประทาน กล้วยเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยรักษาเส้นผมให้อยู่คู่กับหนังศีรษะได้นานวัน

ลดผิวมัน รับประทานธัญญาหารทุกเช้า ซึ่งอุดมด้วยวิตามินบี 2 ที่ช่วยหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกิน ของต่อมผลิตภายในร่างกายที่เป็นสาเหตุหนึ่งของเส้นผมบางและมัน

หยุดการลอกของผิวหนัง รับประทานปลาแซลมอนใส่เกลือรมควัน อาหารทะเล หรือสลัดผักสดก็ได้

ผิวเนียนใสเหมือนเด็ก มะม่วงมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดี โดยช่วยกระตุ้นการสร้าง ผิวหนัง รวมทั้งหนังศีรษะเพื่อทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระ ให้กลับมีความชุ่มชื่นและนุ่มเนียน

ชะลอผมหงอก รับประทานถั่วลิสงอบเนยรวมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อน ๆ ก่อนมื้ออาหาร ถั่วลิสงมี วิตามินบีที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมให้เป็นสีดอกเลาได้ และยังทำให้ผิวหนังดูดีขึ้นอีกด้วย

ดูหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปี รับประทานฝรั่ง หรือน้ำฝรั่งซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี เพราะจะช่วยเก็บรักษา คอลลาเจนที่เป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง หรือรับประทานมะละกอ ส้ม ลูกเกดสีดำอบแห้ง ร่วมกับ ผลไม้ประจำวันก็จะช่วยเพิ่มวิตามินซีเช่นกัน

ปกป้องใบหน้าจากมลพิษ วิตามินบีในอะโวคาโดช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และร่างกายเกิดความ ต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้รวมถึงการถูกทำลายจากบรรยากาศที่มลภาวะเป็นพิษ

ไขความลับศาสตร์ชะลอวัย

ไขความลับศาสตร์ชะลอวัย


ถึงแม้บางคนจะพยายามคิดเสมอว่า อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข!! แต่ก็ไม่สามารถปกปิดได้มิด เมื่อความเสื่อมโทรมของร่างกายและผิวพรรณที่ร่วงโรย ขาด ความสดใส รวมถึงริ้วรอยที่เพิ่มมากขึ้น มันฟ้องอยู่ทนโท่ จึงทำให้ผู้หญิงทั่วโลกหันมาใส่ใจกับการดูแลตัวเองมากขึ้น และจุดประกายให้เรื่องการชะลอวัยเข้ามา อยู่ในกระแสความนิยมอย่างมากด้วย



พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล แพทย์ผู้อำนวยการ “รมย์รวินท์ บิวตี้” และผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย หลักสูตรอเมริกันและยุโรป ได้ให้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการชะลอวัย หรือเอนไท เอจจิ้ง (anti-aging) ว่า จริงๆแล้วก็คือการป้องกันและชะลอความเสื่อมของร่างกาย มิใช่แค่เพื่อความงามเท่านั้น แต่หมายถึงศาสตร์ ที่เมื่อได้ปฏิบัติแล้วทำให้สุขภาพดีขึ้น สดชื่นขึ้น มีพละกำลังในการทำงานมากขึ้น



โดยคุณหมอ ฐานิสรได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมระดับโลก ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันอเมริกันด้านการชะลอวัย (American Academy of Anti Aging Medicine ที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา เมื่อเร็วๆนี้ พบว่า ประเด็นที่กำลังเป็นที่น่าสนใจและประสบความสำเร็จอย่างสูง คือการใช้ศาสตร์ชะลอวัยเพื่อควบคุมน้ำหนัก ซึ่งไม่เพียงแต่การเลือก รับประทานอาหาร หรือการออกกำลังกายเท่านั้น



โดยมีการตรวจวิเคราะห์หาสาเหตุ ที่อยู่ลึกลงไปในระดับเซลล์ รวมถึงหาความผิดปกติของฮอร์โมนและการให้สารอาหาร บางชนิด อาทิ กรดอะมิโน กรดไขมันบางชนิด แร่ธาตุบางประเภท ซึ่งจะช่วยให้ กระบวนการเผาผลาญมีประสิทธิภาพมากขึ้น สารเคมีในสมองบางชนิด เช่น ทริปโตแฟน ซึ่งทำให้รู้สึกอิ่มได้ดีขึ้น และเมื่อทำควบคู่กับการออกกำลังกายด้วยเครื่องมือพิเศษ อาทิ การปั่นจักรยานในโดมสุญญากาศ ก็จะช่วยให้น้ำหนักลดได้เร็วขึ้น



นอกจากนี้ ยังมีการเจาะเลือด เพื่อทดสอบว่าแพ้อาหารใด เพื่อหลีกเลี่ยงอาหารนั้น เนื่องจากมีการพิสูจน์แล้วว่าร่างกายของคนเราจะต่อต้านสารอาหารบางอย่างโดยที่เราไม่รู้ตัว ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ปวดศีรษะ หรือตัวบวม เมื่อหลีกเลี่ยงสารอาหารที่ก่อให้เกิดการแพ้ และให้สารอาหารทดแทนบางชนิดจะสามารถลดน้ำหนักได้ดีขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อ ผิวพรรณภายนอกดูสดใสขึ้น ตอบสนองต่อครีมบำรุงผิวและการเสริมความงามด้วยวิธีต่างๆได้ดียิ่งขึ้น ทั้งเลเซอร์, โปรแกรมลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ, ฉีดคอลลาเจน และการยกกระชับหน้าด้วยโปรแกรมเทอร์มาจ



ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงที่ “รมย์รวินท์ บิวตี้”แต่สิ่งที่คุณหมอฐานิสรย้ำและให้ความสำคัญไม่แพ้ร่างกายคือ จิตใจที่ต้องรู้จักปล่อยวางปัญหา มองโลกในแง่บวกและมีกำลังใจในการดำเนินชีวิต เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้คุณผู้หญิงทั้งหลายสวยใสทั้งภายในและภายนอก

ธัญพืชเพื่อสุขภาพ

ธัญพืชเพื่อสุขภาพ

ธัญพืชเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่กำลังมาแรง ผู้บริโภคนิยมผสมในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เช่น นม หรือเครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูป ดื่มเพื่อบำรุงร่างกายปัจจุบันมีธัญพืช 4 ประเภทที่กำลังฮิตในบ้านเรา อะไรบ้างและมีประโยชน์อย่างไร

ข้าวสาลี
อุดมด้วยสารอาหารมากกว่า 100 ชนิด มีแร่ธาตุหลักๆ ที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มี วิตามินกลุ่มบีคอมเพล็กซ์ เป็นแหล่งโปรวิตามินเอสูงที่สุดในบรรดาอาหารต่างๆ ทั้งยังมีวิตามินซี อี และเคในปริมาณมากวิตามินและแร่ธาตุสำคัญๆ จะอยู่บริเวณเปลือกข้าวและจมูกข้าว เครื่องดื่มบางชนิดจึงมักผสมจมูกข้าวสาลีเพื่อเพิ่มคุณประโยชน์นอกจากนี้ต้นกล้าข้าวสาลี ยังมีคลอโรฟิลล์และออกซิเจนสูง นิยมนำมาคั้นดื่มสดๆ เพื่อล้างพิษในร่างกาย

ลูกเดือย
เป็นธัญพืชให้พลังงานสูง และมีโปรตีนคุณภาพสูง ในตำรายาจีนมักใช้ลูกเดือยบดผสมข้าวต้มกินบำรุงกำลังที่สำคัญ ลูกเดือยยังมีสารอาหารอื่นๆ เช่น วิตามินบี 1 วิตามินเอ โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม ใยอาหาร และกรดอะมิโน ช่วยให้หลับง่ายขึ้น

ข้าวโอ๊ต
อุดมด้วยใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำเล็กๆ คอยดูดซับอาหารจำพวกน้ำตาล แป้งและไขมันในลำไส้เล็ก และนำพาไปยังระบบขับถ่าย จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดและลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆนอกจากนี้ยังมีใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ ช่วยเร่งให้อุจจาระเคลื่อนผ่านลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้น มีสรรพคุณในการป้องกันและแก้ท้องผูก ทั้งนี้ ใยอาหารทั้งสองชนิดพบในเปลือกหุ้มเมล็ดข้าวโอ๊ต จึงควรกินข้าวโอ๊ตที่ไม่ขัดสี องค์กรอาหารและยา สหรัฐอเมริกา แนะนำให้กินข้าวโอ๊ตเป็นประจำเพื่อลดคอเลสเตอรอลและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

งาดำ
มีแคลเซียมสูงกว่านมวัวถึง 6 เท่า อุดมด้วยวิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 และ บี 9 และวิตามินอีสูง ช่วยบำรุงประสาทการกินงาดำเป็นประจำช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระฉับกระเฉง และกระดูกแข็งแรง ในงาดำมีไขมัน ซึ่งจัดเป็นไขมันคุณภาพดี มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทั้งยังมีโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด และป้องกันโรคหัวใจในเมล็ดงาดำยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณสูง ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติประจำ ควรกินงาดำร่วมกับถั่วเพื่อให้ได้กรดอะมิโนที่จำเป็นอย่างเพียงพอวันนี้เรามากินธัญพืชเพื่อสุขภาพกันเถอะ

อาหารสร้างคอลลาเจน

อาหารสร้างคอลลาเจน

คนอยากสวยทุกคนล้วนเคยได้ยินคำว่าคอลลาเจน เพราะเราจะเห็นว่ามีทั้งอาหารเสริม (ความงาม) และเครื่องสำอางหลากหลายที่บอกเราว่ามีส่วนผสมของคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวพรรณ เต่งตึง...แต่คุณทราบไหมคะว่าเราสามารถสร้างคอลลาเจนด้วยตัวเองได้ เพียงแต่รับประทานสิ่งเหล่านี้

1. ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่ว เหลืองทั้งหลาย เนยแข็ง หรือชีส 3 อย่างนี้ นอกจากช่วยกระตุ้นคอลลาเจนแล้วยังช่วยชะลอความชราของผิวหนังได้อีกด้วย

2. ผักใบเขียว เพราะประกอบไปด้วยสารสำคัญที่จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้เอง

3. ผัก และผลไม้ที่มีวิตามินซีและวิตามินเอสูง ๆ ซึ่งได้แก่ผลไม้ที่มีสีแดง สีส้ม ที่มีสารต้านออกซิเดชั่น ต้านอนุมูลอิสระ จะเสริมให้มีการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น มะเขือเทศแดง พริกหยวกแดง หรือผลไม้ที่มีสีแดงคล้ำ เช่น บลูเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ ฯลฯ

4. อาหารทะเลที่มีสารโอเมก้า เช่น ปลาทู ปลาซัลมอน และถั่วต่าง ๆ ซึ่งสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเองได้คอ ลลาเจน คือโปรตีนไฟเบอร์ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมต่ออวัยวะทุกส่วนของร่างกายเข้าไว้ด้วย กัน ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง กระดูก ปอด เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ กระดูกอ่อน แม้แต่ผนังเส้นเลือดก็ยังมีคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบสำคัญ คอลลาเจนจึงนับเป็นโปรตีนที่มีมากที่สุดประมาณ 25 % ในร่างกายของสัตว์เลือดอุ่น มีคุณสมบัติที่สำคัญคือไม่ละลายน้ำ แต่อุ้มน้ำได้ดีและได้มาก มีความแข็งแรงโดยทำงานร่วมกับอีลาสติน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้อวัยวะส่วนต่าง ๆ รวมทั้งผิวหนัง

10 อาหารสุขภาพดีได้ไม่ยาก

10 อาหารสุขภาพดีได้ไม่ยาก

1. สำรองผลไม้ในตู้เย็น ผักผลไม้ที่ควรสำรองในตู้เย็นอย่าให้ขาด ได้แก่ กะหล่ำปลี แครอท ส้ม แอปเปิ้ล ซึ่งนอกจากจะมีประโยชน์มากสำหรับสาว ๆ ที่กำลังไดเอตแล้ว การรับประทานผัก ผลไม้เป็นประจำ ยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

2. เหงือกดี ด้วยน้ำชายามเช้า องค์การอาหารและยาของสหรัฐและสวีเดน บอกว่า การบ้วนปากในช่วงเช้าด้วย น้ำชา จะช่วยลดแบคทีเรียในช่องปากได้ เนื่องจากสารโพลีฟีนอล จะช่วยยับยั้งการ เจริญเติบโตของแบคทีเรีย ที่เป็นต้นเหตุของฟันผุ ส่วนการดื่มชาหลังมื้ออาหารก็ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือกได้

3. ดื่มน้ำมากขึ้น การดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50 % เชียวล่ะ

4. เปลือยเท้า คลายเครียด การย่ำเท้าเปล่า ไปบนทรายนุ่ม ๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เนื่องจากการเดินเท้า เปล่า จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

5. รับแสงแดดอ่อน มีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่า ผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลย มีโอกาสที่จะเป็น มะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงที่อยู่ในเมืองที่มีแดด เนื่องจากแสงแดดช่วยสังเคราะห์ วิตามินดีในร่างกาย แต่การโดนแดดจัดในช่วงบ่ายๆ ก็เป็นอันตรายเช่นกัน ควร รับแดดอ่อนๆ ในช่วงเย็นจะดีกว่า

6. หันมาทานขนมปังโฮลวีทกันเถอะ สำหรับมื้อว่างยามบ่าย แทนที่จะไปคว้าคุ๊กกี้หรือเค็กช็อกโกแลต ซึ่งเพียบด้วย แคลอรี่ เปลี่ยนมาทานขนมปังโฮลวีทสัก 2 แผ่นรับรองว่า จะช่วยให้คุณรู้สึกมีกำลัง วังชาแล้ว ยังไม่อ้วนอีกด้วยล่ะ

7. สลัดปลาทูน่าเพิ่มความจำ ใครที่รู้ตัวว่า เริ่มจะหลง ๆ ลืม ๆ ลองหันมาทานสลัดปลาทูน่า หรืออาหารเมนูปลา รวมทั้งเพิ่มอาหารที่มีวิตามินบี2 เช่น ไข่ นม ถั่วเหลือง นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดี แล้ว ยังช่วยเพิ่มพลังความจำให้กับสมองได้

8. เดินไว ๆ ช่วยให้สุขภาพหัวใจแข็งแรง คนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย แต่ยังห่วงใยสุขภาพของตัวเองอยู่ ลองใช้วิธีเดิน ให้ไวขี้นอีกนิด อาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้า หรือหลังเลิกงาน เดินไปที่ป้ายรถเมล์ สักสามสี่ป้าย หรือเดินขึ้นลงบันไดให้ได้วันละ 20 นาที จะช่วยบริหารหลอดเลือด หัวใจให้แข็งแรง และยังทำให้หุ่มสลิมสมส่วนเป็นของแถม

9. เติมไขมันดี ๆ ให้ร่างกาย ไขมันนั้น ไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพระไขมันมีอยู่หลายชนิด ไขมันที่เป็นมหา มิตรกับร่างกายน่ะ หากร่างกายขาดแคลน อาจมีผลต่อการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้ เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันชนิดไม่อิ่มตัว จากน้ำ มันมะกอก น้ำมันถั่ว และไขมันโอเมก้า 3 จากปลา ซึ่งเป็นไขมันดี ๆ ที่ไม่เพียงให้ พลังงาน ทำให้มีเรี่ยวแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจอีกด้วย

10. Just Do Nothing ลองหยุดภารกินวุ่น ๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชั่วโมง ให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ใช้เวลาอยู่คนเดียวตามลำพัง จะช่วยทำให้คุณรู้สึกสงบ เป็นเวลาที่ จะได้เรียนรู้วิธีหยุดพักใจ อาจจะฟังเพลงเงียบๆ คนเดียว หรืออาบน้ำอุ่นๆ แล้วอ่าน หนังสือเล่มโปรด ค่อยๆ จิบน้ำชาชมดอกไม้ เป็นการเติมความรื่นรมย์ด้านจิตใจทำ ให้คุณสดชื่น และมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ และยังห่างไกลจากโรคความรีบร้อนอัน หมายถึงโรคที่ทำให้คุณตื่นตัว และเร่งรีบ จนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง

10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว

10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว

วันนี้เกร็ดความรู้มี 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็วมาบอกกัน...
1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็น สาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็น ประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็น มลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์ สมองตายได้7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความ คิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมองรู้อย่างนี้แล้วก็หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กล่าวมาจะดีกว่า เพื่อจะได้มีสมองที่ดี.

โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณท­านอาหารไม่เหมาะสม

สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณท­านอาหารไม่เหมาะสม

ร่างกายของคุณเกิดมีปฏิกิริยาตอบกลับมาเป็นผดผื่น คัน ผิวหนังลอกเป็นขุยแล้วล่ะ ก็ แสดงว่าคุณกำลังทานอาหารไม่ถูกต้องอยู่นะคะ วันนี้เราจึงนำ สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสมมา ฝากกัน

1. ผิวหนังมีปัญหาเช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการ ขาดวิตามิน A ผักและผลไม้ ที่มีสีเหลือง สีส้ม หรือสีเขียวเข้ม ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ ไม่ควรทานวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับโดยตรงเช่นนี้มาก เกินไปจะเป็นอันตรายได้
2. ผมไม่เงางามในกรณีที่รุนแรง ผมของคุณจะไม่สามารถจัดทรงได้เลย เป็นผลมาจากการ ขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติ หรือคน ที่จำกัดอาหารอย่างมาก ดังนั้นคุณจึงควรที่จะทานอาหารที่มีกากใยควบคู่ไปกับการ ออกกำลังกาย ส่วนคนที่เป็นมังสวิรัติ ต้องได้สารอาหารจาก พืชผัก ข้าว และ ถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่ำดอก และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขก และถั่ว เหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน
3. ท้องผูกเป็นอาการที่กำลังบอกคุณว่า คุณต้องได้สารอาหารพวก ไฟเบอร์ หรืออาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย
4. ผายลมบ่อย ( ตด...เหม็น)แม้ว่าไฟเบอร์จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากเกินไป หรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็ว เกินไป เช่น กินถั่ว หรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกายของคุณจะ ผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่ายตามปกติ วิธีแก้ปัญหาคือค่อย ๆ เพิ่มสารอาหารพวกไฟเบอร์อย่างช้า ๆ ถ้าคุณเคยกินแค่เพียง วันละ 10 กรัม อย่าผลีผลามเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่ เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม
5. ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่ออย่าเพิ่งไปโทษโรคข้ออักเสบ อาจเป็นไปได้ว่าคุณกิน ปลาน้อยเกินไป กรดไขมัน ประเภทโอเมก้า -3 ที่พบมากในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า จะทำให้ข้อต่อของคุณ เคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการบวมและ ปวดบริเวณข้อต่อ
6. สเปิร์มน้อยลงไปมากถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ อาจเป็นไป ได้ว่าคุณ ขาดวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายจากการศึกษาพบว่า วิตามิน C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D., ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน โดยบอกว่าวิตามิน C มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆ ด้าน
7. หัวใจเต้นผิดปกติหัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน คงไม่ สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา แต่ถ้าอยู่ ๆ คุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็ว กว่าปกติ หรือเต้น ๆ หยุด ๆ โดยไม่มีเหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวด หรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ หัวใจคุณก็ยังมีอาการเต้นผิดปกติในบางครั้ง คุณอาจจะ ขาดสารอาหารพวกแม็กนีเซียม หรือโปแตสเซียม สำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้ เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู สำหรับแม็กนีเซียม ให้ทานอาหารว่างที่เป็น พวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทอง และผักโขม เป็นอีกตัว หนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ
8. ปวดเหงือกถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก แสดงว่า ปากของคุณกำลังต้องการ แบคทีเรียที่มีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียใน ปากที่มีอันตราย ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วง เช้าของทุกวัน
9. กระดูกแตกถ้ากระดูกคุณแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นไปได้ว่ากระดูก ของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็น ตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือน ๆ ผู้หญิง เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ยิ่งร่างกายได้รับ ฟอสฟอรัสมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น อาหารที่อุดมไปด้วย แคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นมและเนยแข็ง (ไขมันต่ำได้ก็ ดี)
10. ขี้ลืมอาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B 6 B 12 และ B folate สูงในเลือด จะมีความทรงจำที่ดีกว่าจากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วย ให้สมองทำงานได้เต็มที่ และยังช่วยควบคุม homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิด หนึ่งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมอง ถั่ว เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B 6 และโฟเลต มากที่สุด และไม่ต้องกังวลกับการ ขาดวิตามิน B 12 เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล

หมั่นสังเกตตัวเองสักนิด แล้วจะรู้ว่าร่างกายของท่านเรียกร้องอะไร