5 วิธีเพิ่มความสุขให้ชีวิต


ชีวิตคนเรามีเวลาไม่มากเท่าไรนัก ก็แค่ประมาณ 27,375 วันเท่านั้นเอง ดังนั้นเพื่อการใช้ชีวิตที่มีอยู่ให้มีความสุข โดยเราต้องรู้จักใช้ชีวิตให้เป็น
และดิฉันได้นำวิธีง่ายๆที่จะช่วยเพิ่มความสุขให้ชีวิตมาฝากค่ะ
1.มองโลกในแง่ดี แม้ว่าบางครั้งเราต้องเจอกับเรื่องหรือคนที่ไม่น่าพิสมัย แต่หากมองให้รอบด้าน จะพบว่าทั้งเรื่องและคนเหล่านั้นมีทั้งด้านบวกและด้านลบกันทั้งนั้น ดังนั้นควรเลือกมองในด้านดีหรือด้านบวกเข้าไว้เพื่อความสุขของเราเองค่ะ

2.ทำความรู้จักกับคนอื่น การได้ผูกมิตรกับคนอื่นเป็นสิ่งที่ดี เพราะนอกจากเราได้พูดคุยในเรื่องที่มีความสนใจแบบเดียวกันแล้ว เรายังได้ความรู้และทัศนคติใหม่ๆจากคนเหล่านั้นอีกด้วย

3.ค้นหาตัวเอง การรู้จักตัวเองเป็นเรื่องดีเพราะจะทำให้เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิตและไม่หลงผิดกับกิจกรรมหรืองานที่ไม่เหมาะสมกับตนเอง

4.มีอารมณ์ขัน เพราะการหัวเราะหรือการยิ้มนั้นเป็นเสมือนยารักษาโรคทางกายและทางใจ เพราะในขณะที่เราหัวเราะนั้น กล้ามเนื้อหลายๆส่วนได้ทำงาน นอกจากนั้นจิตใจของคนก็ได้ผ่อนคลายและได้ปลดปล่อยความเครียดออกมา

5.การเป็นผู้ให้ การได้ช่วยเหลือคนอื่น แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยจนไปถึงเรื่องสำคัญ จะทำให้เราชุ่มชื่นใจเพราะทุกครั้งที่เราได้ให้อะไรใครก็หมายความว่าการเห็นแก่ตัวในตัวเราก็ลดลงไปด้วย เมื่อเราเป็นผู้ให้มากขึ้นเราก็จะเรียกร้องน้อยลงและจะให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น

ด้วย 5 วิธีง่ายๆนี้ดิฉันหวังว่าจะทำให้เพื่อนๆได้ลองนำไปปรับใช้และมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นนะคะ...

20 วิธีพิชิตโรคภูมิแพ้

หากอาการน้ำมูกไหล จมูกฟึดฟัด จาม และคันจากโรคภูมิแพ้เป็นหนักทำให้คุณต้องชื้อกระดาษทิชชูมาตุนไว้เต็มบ้านเพื่อรับมือกับอาการเหล่านี้คุณน่าจะหันมาปรับเปลี่ยนร่างกายให้ทำสงครามตอบโต้การโจมตีจากโรคภูมิแพ้ที่ทำเอาคุณย่ำแย่มานานปีเสียที จะได้จบสิ้นอาการที่น่ารำคาญลงได้ ภาวะภูมิแพ้อาจไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน 20 วิธีต่อไปนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ใช้ป้องกันตัวเองจากโรคนี้

1. เลือกกินเนื้อไก่แทนเนื้อวัว ผลงานวิจัยโครงการ 2 ปี ที่ศึกษาผู้ใหญ่ที่เป็นโรคหวัดแพ้อากาศ 334 ราย และผู้ที่ปกติดี 1,336 ราย พบว่าผู้ที่ได้รับกรดไขมันแปรรูปทรานส์โอเลอิก (รูปแบบหนึ่งของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว) ในอาหารโดยเฉพาะเนื้อวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวปริมาณสูงสุด มีแนวโน้มเป็นโรคหวัดแพ้อากาศมากเป็น 3 เท่าของผู้ที่ได้รับกรดไขมันดังกล่าวในปริมาณต่ำสุด โชคยังดีที่น้ำมันมะกอกแม้จะมีกรดโอเลอิกอยู่มากแต่ก็ไม่ได้อยู่ในรูปของไขมันแปรรูปหรือ ไขมันทรานส์

2. กินน้ำมันปลาหนึ่งเม็ดเป็นอาหารเสริมทุกเช้าหลังแปรงฟัน การศึกษาผู้ที่เป็นโรคหอบหืดชนิดเกิดจากภูมิแพ้ พบว่าผู้ที่กินน้ำมันปลาเป็นประจำทุกวันนาน 1 เดือนจะมีระดับลูไคไทรอีนส์ซึ่งเป็นสารเคมีที่ก่อเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ลดลง

3. เปิดเครื่องปรับอากาศ เพราะไม่เพียงช่วยขจัดความชื้อซึ่งอาจก่อเชื้อรา แต่ยังกรองสารก่อภูมิแพ้ที่จะเข้ามาในบ้าน หมั่นทำความสะอาดหรือเปลี่ยนที่กรองบ่อยๆ มิฉะนั้นอาจกลับทำให้แย่ลงได้

4. กินกีวี1 ผลทุกเช้า วิตามินซีในผลกีวีเป็นสรต้านฮิสตามีนตามธรรมชาติ การศึกษาบางชิ้นพบว่าการมีระดับวิตามินซีต่ำมักทำให้เกิดภูมิแพ้ จึงควรกินวิตามันซีเสริมทันทีเมื่อมีอาการกำเริบ เราอาจเลือกผลไม้อื่นที่มีวิตามินซีสูงเช่น มะขามป้อม

5. ทำความสะอาดเครื่องเรือนและพรมด้วยเครื่องดูดฝุ่นไอน้ำ เติมสารละลายไดโซเดียมออกตาบอเรตเตตร้าไฮเดรต หรือ ดีโอที ซึ่งได้จากธาตุโบรอนลงในน้ำด้วย วารสารAllergy ฉบับปี 2547 ตีพิมพ์ผลการศึกษาหนึ่งว่า สารดีโอทีช่วยลดปริมาณตัวไรฝุ่นและลดสารภูมิแพ้จากไรฝุ่นลงในระดับที่ปลอดปฏิกิริยาต่อร่างกายได้นาน 6 เดือน

6. กินเคอร์ซิทินขนาด 250 มก. วันละ 3 เม็ด สารเสริมที่สกัดจากธรรมชาติชนิดนี้นับเป็นฟลาโวนอยด์ หรือสารจากพืชที่มีสรรพคุณต้านการอักเสบ เป็นยาแก้โรคภูมิแพ้จากสารธรรมชาติที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย

7. หมั่นทำความสะอาดรางน้ำไม่ให้อุดตัน เพราะจะเป็นที่เติบโตของเชื้อราซึ่งเป็นตัวทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบหนักขึ้น

8. เปิดพัดลมดูดอากาศขณะอาบน้ำหรือเปิดหน้าต่างให้มีอากาศถ่ายเทอยู่เสมอ หลังการอาบน้ำ หมั่นดูแลห้องน้ำให้แห้งเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อรามีโอกาศเจริญเติบโต

9. ใช้น้ำร้อนล้างม่านกันส่วนอาบน้ำ และนำออกซักด้วยน้ำยาฟอกขาวทุกเดือน รวมถึงถอดฝักบัวอาบน้ำออกทำความสะอาดทุก 2-3 เดือน

10. เปิดหน้าต่างรับแสงแดดในฤดูหนาว แสงแดดธรรมชาติช่วยขับไล่ความชื้น ทำให้อากาศแห้ง ไม่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อรา

11. ซักเครื่องนอนในน้ำร้อนทุกสัปดาห์ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดไรฝุ่นตัวจิ๋วที่น่ารำคาญ ซึ่งพิสมัยเตียงนอนของคุณมากกว่าเจ้าของเตียงเสียอีก

12. ตามไปดูที่ปลายช่องระบายอากาศของเครื่องอบผ้า ให้แน่ใจว่ามันยื่นออกไปนอกบ้าน ในกระบวนการอบผ้าหลังการซักทุกครั้งจะมีความชื้นราว 20 ปอนด์เล็ดลอดออกไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง ควรตามท่อไปดูว่าเชื้อราได้ก่อตัวอยู่ตรงบริเวณช่องระบายอากาศนั้นหรือไม่

13. ทำความสะอาดถาดรองน้ำใต้ตู้เย็นด้วยสารฟอกขาวแล้วโรยเกลือ การเติมเกลือลงไปช่วยลดอัตราการเจริญเติบโตของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ

14. รดน้ำไม้กระถางแต่พอประมาณ อย่าลืมโรยก้อนกรวดบนหน้าดินในกระถางทุกใบเพื่อป้องกันไม่ให้สปอร์เชื้อราลอยฟุ้งขึ้นไปในอากาศ

15. ใช้เวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์จัดเก็บบ้านให้สะอาด โละเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่คุณไม่เคยใช้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาทิ้งไป ย้ายอุปกรณ์กีฬาให้เข้าที่เข้าทาง ทำความสะอาดรองเท้าทุกคู่ เก็บใส่ถุงแขวนให้เป็นระเบียบ เมื่อทำเสร็จคุณจะมองเห็นพื้นตู้และฝาหลังตู้ได้อีกครั้ง ที่นี้ดูดฝุ่นทุกสิ่งทุกอย่างให้สะอาด ปริมาณฝุ่นในบ้านจะลดลงมากทีเดียว

16. ปิดประตูห้องนอนไม่ให้สุนัขและแมวเข้ามาได้ วิธีนี้ช่วยลดรังแคหรือสะเก็ดผิวหนังแมวและสุนัขที่หลายคนมีอาการแพ้ได้ดี

17. เลือกพรมเช็ดเท้าชนิดที่ทำจากสารสังเคราะห์ พรมเช็ดเท้าที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ(พวกเครื่องจักรสาน) อาจเปื่อยหรือผุจนกลายเป็นแหล่งอาหารของเห็บหมัด หรือเชื้อรา จนกระทั่งมันมาสถิตย์อยู่ในบ้าน จึงควรซักล้างพรมเช็ดเท้าทุกอาทิตย์ฃ

18. ทำความสะอาดเศษแมลวที่ค้างอยู่ที่ระเบียงหรือซุ้มประตูทางเข้าบ้าน เมื่อเศษแมลงย่อยสลาย มันจะกลายเป็นแหล่งสารก่อภูมิแพ้เลยทีเดียว

19. ทำชั้นวางรองเท้าไว้หน้าบ้าน และถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน เพื่อลดปริมาณฝุ่น เชื้อราและสารก่อภูมิแพ้อื่นๆที่อาจติดเข้ามา

20. อ่านฉลากให้ดี หลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่สารเติมแต่งชนิดโมโนโซเดียมเบนโซเอต มีกรณีศึกษาของอิตาลีพบว่าสารชนิดนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการคล้ายอาการภูมิแพ้ เช่น น้ำมูกไหล จาม แน่นจมูก ในกลุ่มผู้ที่ได้ได้เป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน นอกจากนี้ยังมักพบสารกันบูดในน้ำส้มคั้น ใส้ขนมพาย อาหารดอง มะกอก และน้ำสลัดอีกด้วย

ทำเอมไซด์แอปเปิ้ลหน้าใสแบบง่ายๆด้วยตัวเอง

สูตรหน้าใสจากธรรมชาติสูตรนี้ได้มาจากคนรู้จัก เค้าใช้แล้วหน้าใสขึ้นจริงๆ มีของดีและถูกอย่างนี้ต้องบอกต่อซะแล้ว

วิธีใช้

ก่อนล้างหน้าตอนเช้าหรือเย็นทาทิ้งไว้ 5-10 นาทีหรืออาจจะนานกว่านี้แล้วก็ล้างหน้าตามปกติ ยิ่งถ้ากินก็จะช่วยให้ปิ๊งจากข้างใน แต่ถ้าไม่มั่นใจก็ใช้ทาภายนอกอย่างเดียว

ส่วนผสม

1. น้ำผึ้ง
2. แอปเปิ้ลปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
3. น้ำสะอาด
4. ขวดใส (ขวด pet ที่ใสน้ำเปล่าขาย)

วิธีทำใส่น้ำผึ้งไปประมาณขีดที่ 1 ของขวดแล้วก็ใสแอปเปิ้ลไปเท่าๆกันใสน้ำลงไปพอไปเกือบเต็มขวด พอให้อากาศเข้าไปได้ แล้วก็เขย่าให้เข้ากันปิดฝาวันที่ 2 ก็ค่อยเปิดฝาให้แก็สที่มีอยู่ในขวดออกมาสักพักก็ปิดฝาเขย่าทิ้งไว้ วันต่อๆไปก็ทำแบบนี้อีก 7-10 วัน คุณก็จะได้เอมไซด์เอาไปพอกหน้าให้สวยใสจากธรรมชาติ

ดื่มโกโก้ วันละแก้ว สุขภาพดี

บีบีซีนิวส์ - ผลการศึกษาชิ้นใหม่พบว่านอกจาก ชา หรือไวน์แดง ที่รู้กันดีว่ามีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคได้หลายโรค รวมถึงยังป้องกันผลกระทบจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ยังมีอาหารอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ "โกโก้" ที่มีคุณสมบัติมากกว่าเครื่องดื่มเสริมสุขภาพที่ว่ามาเสียอีก

นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาศึกษาพบว่า โกโก้ร้อน 1 ถ้วยนั้นอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มากกว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ชา หรือ ไวน์แดง ทั้งนี้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลการศึกษาหลายชิ้นได้เน้นถึงคุณสมบัติในการเสริมสร้างสุขภาพทีพบใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ โดยมีงานวิจัยในจีน ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วพบว่า คนที่ดื่มน้ำชาเป็นประจำนั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกว่าครึ่งหนึ่ง

ปีที่แล้ว นักวิจัยในฝรั่งเศสรายงานว่า ดื่มไวน์แดงวันละแก้ว อาจช่วยลดโอกาสความเสี่ยงของโรคหัวใจ และในปี 1998 ได้มีการศึกษากับคนอเมริกันกว่า 8,000 คนพบว่าช็อกโกแลต ซึ่งผลิตมาจากโกโก้ นั้นอาจช่วยให้อายุยืนขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วย โพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยกวาดล้างของเสียที่ผลิตจากร่างกาย โดยของเสียเหล่านั้นมีส่วนทำลายเซลล์ และก่อให้เกิดมะเร็งได้

ในการศึกษาล่าสุดนี้ ดร. ชาง ยง ลี และคณะ จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ในนิวยอร์ก ได้ทำการทดสอบโดยวัดระดับสารต่อต้านอนุมูลอิสระใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด โดยมีมากกว่า ไวน์แดง 1 แก้วถึง 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียว

แม้ว่าโกโก้จะถูกนำไปทำเป็นอาหารหลายอย่างรวมทั้ง ช็อกโกแลต แต่นักวิจัยเผยว่าทางที่ดีที่สุดที่จะได้รับคุณค่าสารอาหารอย่างเต็มที่ ก็คือการดื่มโกโก้ โดยตรง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในช็อกโกแลต 1 แท่งอุดมไปด้วยไขมัน โดยช็อกโกแลตแท่ง ขนาด 40 กรัมนั้นมีไขมันมากถึง 8 กรัม ขณะที่โกโก้ร้อน 1 ถ้วยมีไขมันเพียงแค่ประมาณ 0.3 กรัมเท่านั้น

"แม้เรารู้ว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั้นดีต่อสุขภาพของเรามาก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าในแต่ละวัน เราต้องการสารนี้กันจำนวนเท่าใด" ดร. ลี กล่าว "แต่กระนั้น โกโก้ร้อน ถ้วยหรือ สองถ้วย ก็ช่วยในด้านของความอร่อย ดื่มแล้วก็ทำให้รู้สึกอุ่น และช่วยเสริมสร้างสุขภาพจากสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ได้รับอีกด้วย"

6 ท่า 6 จุด หยุดไขมัน


Obesity Therapy เป็นโยคะประยุกต์เพื่อลดสัดส่วนซึ่ง ครูแฮ้งค์-ปรีชา พุฒทอง ได้ศึกษาและทดลองมานานกว่า 3 ปีจนได้รับลิขสิทธ์การันตีว่าช่วยลดไขมัน 6 จุดในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และยังช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง มีความยืดหยุ่นของข้อต่อดีขึ้น ลดอาการเมื่อยล้า สร้างสมดุลให้ร่างกายและจิตใจ พัฒนาทักษะในการควบคุมการใช้อวัยวะ รู้จังหวะการหายใจ การรู้สึกตัวในขณะปฏิบัติ โดยทั้ง 6 ท่านี้ เป็นท่าพื้นฐานใน 35 ท่าโยคะ Obesity Therapy ที่ทำง่ายและได้ผลดี
1. ท่าหน้าวัวประยุกต์
A. ยืนตัวตรงเท้าชิดติดกัน มือขวาจับปลายผ้าขนหนูข้างหนึ่ง ยกแขนขวาขึ้นแล้วงอข้อศอกลงไปด้านหลังศีรษะ แขนซ้ายแนบติดลำตัวงอแขนไว้ด้านหลังขนานกับช่วงเอว จับปลายผ้าขนหนูอีกข้าง
B. หายใจเข้า มือขวาออกแรงดึงผ้าขนหนูขึ้นให้แขนขวาชิดใบหู
C. หายใจออก มือซ้ายดึงผ้าขนหนูลงจนแขนซ้ายตึง ระวังอย่าให้แขนซ้ายแยกออกจากลำตัว และต้องดึงผ้าให้ตึงตลอด ทำต่อเนื่องจนครบ 10 ครั้ง ครั้งที่11 ลดแขนทั้งสองให้ขนานกันดังภาพแล้วออกแรงดึงผ้าให้ตึง ปล่อยแขนลงผ่อนคลาย ทำซ้ำอีกข้าง ท่านี้จะช่วยลดไขมันส่วนเกินบริเวณท้องแขนได้เป็นอย่างดี
2. ท่าเรือกลไฟ
A. ยืนตัวตรงกางขาออกกว้างเป็น 3 เท่าของช่วงไหล่ ขาเหยียดตรงเปิดปลายเท้าขวาให้ตั้งฉากกับลำตัว หายใจเข้า หงายฝ่ามือยกแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นขนานกับพื้น หายใจออก หมุนตัวมาทางขวามือ 90 องศา
B. หายใจเข้าประสานมือดันนิ้วชี้ขึ้นเหนือศีรษะ ยืดแขนให้ตึง หายใจออก งอเข่าขวาให้ตั้งฉากไม่เกินนิ้วโป้งเท้า
C. หายใจเข้า เกรงขายืดแขนให้ตึง หายใจออก ยืดตัวตรง แขม่วท้อง D. หายใจเข้า เกร็งขายืดตรง กลับไปท่าเริ่มต้น ทำแบบนี้ข้างละ 3 ครั้ง ท่านี้จะช่วยลดไขมันท้องแขน และสะโพก ได้บริหารปีกสะบักกลางหลัง และกล้ามเนื้อต้นขา
3. ท่าบิดลำตัว
A. นั่งหลังตรง ใช้ขาซ้ายไขว้ขาขวา ปลายเท้าขวาวางข้างสะโพก อกชิดติดเข่า แขนซ้ายกอดหัวเข่าขวา
B. หายใจเข้าให้ลึก วาดแขนขวาไปทางด้านหลังวางไว้ที่เอว หายใจออก แขม่วท้องบิดเอวหันหน้าไปทางด้านหลัง หายใจเข้าหันหน้ากลับท่าเริ่มต้น ทำ 3 รอบแล้วเปลี่ยนข้าง ท่านี้จะช่วยลดเอว หน้าท้อง ต้นขา ปีกสะบัก และแนวขอบอก
4. ท่ายืดส่วนหลัง
นั่งหลังตรง ยืดขาทั้งสองข้างไปด้านหน้าเกร็งปลายเท้าให้ตั้งฉาก หายใจ เข้ายกแขนทั้งสองข้างเหนือศีรษะ หายใจออก คว่ำมือแล้วค่อยๆ ก้มตัวลง เกร็งกล้ามเนื้อบริเวณช่วงเอว แล้วใช้นิ้วชี้เกี่ยวนิ้วโป้งเท้า ค่อยๆ ก้มตัวลงอีก งอศอกเล็กน้อยค้างไว้ประมาณครึ่งนาที (สำหรับคนที่ไม่สามารถเกี่ยวนิ้วได้ อย่าฝืน ให้จับบริเวณใต้เข่าและก้มตัวเท่าที่ทำได้) ยืดตัวขึ้นช้าๆ ท่านี้จะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย บริหารกล้ามเนื้อส่วนหลัง และต้นขา
5. ท่าสะพาน
A. หายใจเข้านอนหงายขนานกับพื้น งอขาชันเข่า เอามือจับที่ส้นเท้า เกร็งหัวเข่ากดคางกับหน้าอก
B. หายใจเข้า ยกสะโพกขึ้นเท่าที่ทำได้ (ใช้มือค้ำที่เอวได้) หายใจออก หายใจเข้า เกร็งกล้ามเนื้อต้นขาและสะโพก หายใจออก ค่อยๆ วางตัวลงกับพื้น ทำ 4 ครั้ง ท่านี้จะช่วยลดไขมันหน้าท้อง ต้นขา และบริหารกล้ามเนื้อหลัง
6. ท่าศพนอนเหยียดขา กระดกปลายเท้า เกร็งเท้า เข่า ต้นขา สะโพก ขมิบก้น เกร็งส่วนคอ กำหมัดแล้วเกร็ง โดยเกร็งส่วนละ 2 วินาที แล้วปล่อยให้ผ่อนคลายเป็นท่าจบและนอนพัก การเกร็งส่วนต่างๆ จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย

4 วิธีแก้เมาแบบฉับพลัน ด้วยตัวเอง

ใครที่ท่องราตรีแล้วเกิดอาการเมาค้าง หรือแฮงค์ วันนี้เรามีเกร็ดความรู้สำหรับเมาค้างมาฝากกัน...อ่านเลย

ดื่มชาสมุนไพรร้อนๆ

(เช่น ดอกคำฝอย, ลูกใต้ใบ เป็นต้น) สัก 2-3 แก้ว ก่อนนอนกินของว่าง เช่น ขนมปังกรอบทาแยมหรือ น้ำผึ้ง และเมื่อตื่นเช้าควรอาบน้ำเย็น แล้วดื่มน้ำหรือดื่มชาสมุนไพรจำพวกน้ำมะนาวคั้น หลังจากนั้นกินแอปเปิ้ล 1 ลูก ตอนสายๆ ตามด้วยแกงเลียงร้อนๆ

สมุนไพรแก้แฮงค์... รางจืด

แก้เมาได้ชะงัด หากดื่มสุราจัดเกินขนาดแล้วเกิดอาการแฮงค์โอเวอร์หรือเมาค้าง รางจืดใช้ได้ทั้งการกินสดๆ และแห้ง คือ เอาใบสด 4-5 ใบ ใส่ครกตำผสมน้ำ ถ้าได้น้ำซาวข้าว ยิ่งดี แล้วคั้นเอาน้ำดื่ม หรือจะใช้ส่วนที่เป็นรากและเถารางจืดสดตำคั้นก็ได้ ส่วนวิธีแห้งซึ่งเป็นที่นิยมในเวลานี้คือ การนำใบแห้งมาชงกับน้ำดื่มเหมือนชงชาจีน

กาแฟแก้เมา

ให้เอากาแฟผงชนิดใดก็ได้เพียง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำเดือด 1 แก้วใหญ่ (ห้ามใส่น้ำตาล) คนให้ละลายรอจนอุ่น ดื่มจนหมดแล้วนอนพัก อาการจะดีขึ้นใน 15 นาที

สร่างด้วยน้ำมะนาว

ใช้มะนาว 1 ลูก คั้นเอาแต่น้ำ แล้วดื่มจนหมด ประมาณ 10 นาทีคุณอาจจะอาเจียน เมื่ออาเจียนเสร็จให้นอนพักสักครู่ อาการเมาก็จะหายไป

มีให้เลือกใช้เลือกปฏิบัติกันครบเซต ตั้งแต่ก่อน ระหว่าง และหลังดื่ม เลือกเอาตามความถนัด แต่ถ้าเลี่ยงได้ ก็อยากเตือนไว้ว่า ทางที่ดีอย่าให้ต้องถึงขั้นเมาหัวราน้ำเลยนะ เพราะมันทั้งทรมานและจิตตกอย่างน่าใจหาย แถมไร้สติ หลายคนถึงกับมองหน้าใครไม่ติด ด้วยวีรกรรมแผลงๆ เอาเป็นว่าดื่มน้อยๆ สนุกนานๆ แบบมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เพื่อรักษาอิมเมจตัวเราไว้สนุกนานๆ กับปาร์ตี้อื่นๆ ดีกว่า

ออกกำลังกาย..เวลาไหนดีสุด

การออกกำลังกายจะทำเวลาไหนก็ดีทั้งนั้น แต่เวลาที่ทำแล้วดีที่สุดตามจุดประสงค์ของเราล่ะ มันคือตอนไหน?

ออกกำลังเพื่อลดน้ำหนัก

ถ้าออกกำลังเพื่อพิฆาตความอ้วน เวลาเช้าๆ นี่ล่ะเหมาะสุด เพราะเป็นเวลาที่ร่างกายจะนำคาร์โบไฮเดรตจากอาหารมื้อเย็นของเมื่อวานมาใช้เป็นพลังงาน จึงสลายไขมันและเผาผลาญแคลอรีได้ดีกว่าการออกกำลังในตอนเย็นเยอะ

ออกกำลังเพื่อฟิตกล้ามเนื้อ

สงสัยหนุ่มๆ คงชอบทำข้อนี้มากกว่าสาวๆ เวลาที่ดีที่สุดสำหรับฟิตกล้ามเนื้อคือเวลาในช่วงบ่าย เพราะมีผลการวิจัยบอกว่า กล้ามเนื้อของเราจะพร้อมและใช้งานได้ดีที่สุดตั้งแต่เวลาเที่ยงเป็นต้นไป ส่วนช่วงเช้ากล้ามเนื้อจะยังตื่นตัวไม่เต็มที่นัก

ออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลาย

ถ้าอยากออกแรงเพื่อสลายความเครียด ขอแนะนำให้ไปอัพแดนด์ดาวน์เอาตอนบ่ายๆ หรือจะเย็นไปเลยก็ได้ เพราะการออกกำลังช่วงนี้จะทำให้หลับสบายในตอนกลางคืน แต่ถ้าไปออกแรงหนักๆ อย่างนี้ในตอนเช้า เดี๋ยวไปง่วงนอนตอนบ่ายแล้วเจ้านายจะเคืองเอาไม่รู้นะ

ออกกำลังเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์

ก็ต้องเวลาเช้าอยู่แล้ว เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่อากาศแจ่มใสที่สุดของวัน การออกกำลังเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้สมองและร่างกายทุกส่วนรับออกซิเจนได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก

กาแฟ เพื่อสุขภาพ

อัพเดทความรู้ใหม่ และสลัดความเชื่อเก่าที่ผิดๆ เรื่องกาแฟทิ้ง...เพราะมันให้คุณมากกว่าโทษ ถ้าคุณรู้จักดื่ม และนี่คือ 6 ข้อเท็จจริงที่เอามาบอก

1. ไม่จริง...ว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้ ส่งผลให้ทารกแรกคลอดน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน ถ้าคุณดื่มเพียงวันละ 1-2 ถ้วย

2. ไม่รู้ใช่ไหม... กาแฟช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาจะช่วยเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

3. ต้องดื่มบ่อยๆ... สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง แนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.) ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล.) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาที และจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย

4. กาแฟดีกว่าไวน์และชาสมุนไพร... เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพร และไวน์แดง ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟ

5. ระวังไว้นิดก็ดี... องค์ประกอบหลักของกาแฟคือ สารกาเฟอีน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่มีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หรือเต้นผิดปกติในบางครั้ง และเพิ่มความดันโลหิต งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัดกาเฟอีนช้า ทำให้กาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดกาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล

6. ดีแคฟ... ไม่ช่วยอะไร ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดกาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดกาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดกาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย ดังนั้น การดื่มดีแคฟนอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้ว ยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย อะไรที่มากหรือน้อยเกินพอดีล้วนมีโทษทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากดื่มกาแฟให้ได้ประโยชน์ก็ต้องเลือกในปริมาณ และรสชาติที่พอดี แล้วจะมีความสุขกับกาแฟแก้วโปรดไปอีกนานๆ

จากประสบการณ์ และ คำแนะนำจากผู้ดูแลสุขภาพ เขาให้คำแนะนำว่า การดื่มกาแฟ 1 แก้วแล้ว ให้ดื่มน้ำ 2 แก้วเป็นอย่างน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ไตทำงานหนักเกินไป โรคที่เกี่ยวเนื่องกับไต และ อวัยวะภายใน จะได้ไม่มีผลจากการดื่มกาแฟครับ...

8 วิธีดูแลสุขภาพรับมือกับหน้าร้อ­น

เข้าสู่ฤดูร้อนอีกแล้ว หน้าร้อนทีไร เดี๋ยวปวดหัว เดี๋ยวปวดท้อง ท้องเสียบ้างล่ะ แล้ว เราจะมีวิธีดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงอย่างไรบ้าง? ไม่ต้องมานั่งคิดให้ปวดหัวแล้วนะคะ เพราะว่าวันนี้ เรามี 8 วิธี ดูแลสุขภาพในฤดูร้อนมาฝากคุณ

1. ไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด ฤดูร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ถูกต้อง ซึ่งช่วยให้คุณเจ็บป่วยน้อยลง

2. ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะหน้าร้อนจะสูญเสียเหงื่อมาก และควรดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ หรือสมุนไพรอื่น ๆ ก็สามารถรับประทานได้

3.ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตาก ลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่นแจ่มใส หรืออาจทำให้เป็นไข้หวัดได้

4. การนอนพักผ่อน ควรนอนหลับให้เพียงพอ

5. ควรเลือกทานอาหารอ่อนๆ ตอนเช้า เช่น ข้าวต้ม เพราะในช่วงเช้ายังไม่ควรทานอาหารที่หนัก ๆ แค่ทานผักผลไม้เยอะ ๆ และหลีกเลี่ยงอาหารทอดๆ มัน ๆ แห้ง ๆ

6. ควรดูแลสุขภาพของเด็กๆ โดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และการดำเนินชีวิต

7. สำหรับหญิงตั้งครรภ์ สิ่งที่ควรปฏิบัติในหน้าร้อน คือ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นไข้หวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัด หรือเย็นจัด

8. บุคคล 3 ประเภทที่ต้องระวังให้มาก คือ คนสูงอายุ ผู้ที่มีระบบย่อยอาหารที่ไม่ดี คนที่มีม้ามพร่อง ผู้ที่มีลักษณะสามอย่างที่กล่าวมานั้น เมื่อได้รับความร้อนจากแสงแดด หรือถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการ ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน เป็นต้น

อันตรายจากภาชนะหุงต้ม ในครัว

*ในยุคที่ผู้คนตื่นตัวในเรื่องของสุขภาพ*สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเราหวาดผวากันมากคือสารพิษปนเปื้อนที่มากับอาหาร แต่สารพิษส่วนหนึ่งที่เราได้รับอาจเกิดขึ้นจากภาชนะในครัวเรือนที่ใช้กัน อยู่ทุกวัน

เมื่อหลายปีที่แล้วนักวิจัยได้เตือนผู้บริโภคว่า *อะลูมิเนียม*อาจ มีส่วนที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ ทำให้ผู้บริโภคพากันโยนหม้อ กระทะที่ทำจากอะลูมิเนียมทิ้งเป็นจำนวนมาก แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันพบว่าอะลูมิเนียมที่ละลายออกมาปนในอาหารมี ปริมาณเพียงเล็กน้อยซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการใช้ภาชนะอะลูมิเนียมหุงต้มอาหารจึงค่อนข้างปลอดภัย

*ภาชนะที่ทำจากสเตนเลส*

เป็นภาชนะที่นิยมใช้รองลงมา สเตนเลสมีส่วนผสมของโลหะหลายชนิด เช่น นิกเกิล โครเมียม เหล็ก และโมลิบเดนัม จากการวิจัยพบว่าภาชนะเครื่องครัวที่ทำจากสเตนเลสอาจให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะสเตนเลสมีส่วนผสมของโครเมียมและธาตุเหล็กซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อ ร่างกาย เมื่อนำมาใช้หุงต้มก็จะมีธาตุเหล่านั้นออกมาปะปนในอาหารเพียงเล็กน้อยจึงไม่ เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่กลับให้ประโยชน์ต่อผู้ที่ขาดโครเมียมและธาตุเหล็ก แต่ขณะเดียวกันสารนิกเกิลอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการของผิวหนังได้ในผู้ที่ แพ้นิกเกิล อย่างไรก็ตามนิกเกิลจะละลายออกมาในอาหารที่เครื่องปรุงมีฤทธิ์เป็นกรด เช่น การใช้น้ำส้มสายชูหรือซอสมะเขือเทศ สำหรับคนที่มีอาการแพ้สารนิกเกิลก็อาจจะเลือกใช้ภาชนะสเตนเลสที่เคลือบสารอี นาเมลซึ่งเป็นสารเคมีที่ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยากับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด

*ภาชนะที่ทำมาจากทองแดง*

ตอบสนองต่อความร้อนได้ดี แต่ถ้านำมาปรุงอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดจะสามารถละลายทองแดงออกมาได้ ทองแดงจะเป็นธาตุที่สำคัญต่อร่างกายในการช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง การได้รับทองแดงในปริมาณเล็กน้อยไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ แต่ถ้าร่างกายได้รับการสะสมทองแดงในปริมาณมากเกินระดับที่ควรมีในเลือด จะทำให้เกิดอาการท้องเสียและอาเจียนจากทองแดงเป็นพิษได้ เพื่อป้องกันปัญหานี้ภาชนะที่ทำจากทองแดงจึงได้รับวิวัฒนาการขึ้นมาด้วยการ เคลือบดีบุก แต่ดีบุกที่เคลือบไว้ก็จะมีการเสื่อมไปตามอายุการใช้งาน ฉะนั้นเมื่อใช้ไปนาน ๆก็ควรจะมีการเปลี่ยนใหม่

*ภาชนะที่เคลือบสารเทฟลอน*

สารชนิดนี้ช่วยป้องกันการติดของอาหาร ทั้งยังทำความสะอาดง่าย และช่วยลดปริมาณไขมันในการปรุงอาหารได้ด้วย เพราะภาชนะหากไม่เคลือบเทฟลอนจะต้องใช้น้ำมันมากขึ้นเวลาผัดหรือทอดเพื่อไม่ ให้อาหารติดกระทะ อนึ่งหากมีการลอกหลุดของสารที่เคลือบปะปนกับอาหารก็จะไม่เกิดอันตรายต่อผู้ บริโภค เนื่องจากเป็นสารที่ไม่เป็นพิษ ร่างกายไม่สามารถดูดซึมเข้าไปได้และจะถูกขับถ่ายออกมา

*ภาชนะเซรามิก*

ภาชนะชนิดนี้มีส่วนผสมของสารตะกั่วอยู่ หากมีอยู่ในปริมาณที่มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้ เมื่อนำไปใส่อาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด รวมทั้งมีข้อเตือนว่าไม่ควรใช้ภาชนะประเภทนี้กับ กาแฟร้อน ชาร้อน ซุปมะเขือเทศ และน้ำผลไม้เพราะจะทำให้สารตะกั่วละลายออกมาได้

*สารตะกั่ว*

เป็นอันตรายต่ออวัยวะและระบบต่างๆของร่าง กาย เช่น ตับ ไต ระบบสืบพันธุ์ ระบบหมุนเวียนโลหิตหัวใจ ระบบภูมิต้านทาน และระบบย่อยอาหาร สารตะกั่วจะถูกดูดซึมเข้าไปสะสมอยู่ในอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะในกระดูกจะสะสมปนกับแคลเซียม เพราะร่างกายไม่สามารถจะแยกระหว่างสารตะกั่วและแคลเซียมได้ ถ้าสารตะกั่วสะสมในปริมาณมากจะทำให้เกิดพิษได้ ถ้าเกิดขึ้นในเด็กสารตะกั่วจะทำลายเซลล์สมอง ทำให้สมรรถภาพในการเรียนรู้เสียไป ยับยั้งการเจริญเติบโตทำให้ร่างกายแคระแกรน และตายในที่สุด

*ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ไม่ควรใช้ภาชนะเซรามิกบรรจุเก็บรักษาอาหาร หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน*

* ข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัยในการใช้ภาชนะ *

หลีกเลี่ยงการเก็บรักษาอาหารเป็นเวลานานๆ ในภาชนะหุงต้ม เมื่อปรุงอาหารเสร็จแล้ว อาหารที่เหลือควรเก็บไว้ในภาชนะพลาสติกหรือภาชนะที่ทำด้วยแก้ว ทำความสะอาดภาชนะตามคำแนะนำของผู้ผลิต หลีกเลี่ยงการขัดถูที่จะทำให้ผิวหน้าของภาชนะถลอกหรือหลุดลอก

*พลาสติกในครัวเรือนปลอดภัยเพียงใด ?* สารเคมีที่สลายจากพลาสติกสามารถผ่านเข้าไปในอาหารได้ไม่ว่าจะถูกความร้อน หรือไม่ แต่ความร้อนและแสงจะเร่งกระบวนการให้เกิดเร็วขึ้น คำถามที่ตามมาคือสิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในอนาคตได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารประเภทที่ทำลายฮอร์โมน สารประเภทนี้จะรบกวนหรือยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนธรรมชาติในร่างกาย ลดปริมาณอสุจิ ทำให้เด็กเป็นสาวเร็วกว่าอายุที่ควรและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

* พลาสติกที่สลายตัวสามารถที่จะผ่านเข้าไปปะปนกับอาหาร พบได้มากในภาชนะใช้ใส่อาหารซื้อกลับบ้าน อาหารที่บรรจุในภาชนะประเภทนี้เป็นเวลานานจะมีกลิ่นและรสของพลาสติกชนิดนี้ ติดมาด้วย*

*อาหารประเภทที่เป็นกรดจะดูดซึมสารพลาสติกได้ดีกว่าอาหารชนิด ที่เป็นด่างหรือกรดต่ำ ความร้อนสูงๆ เช่นจากเตาไมโครเวฟ และความเย็นจากตู้เย็นสามารถเพิ่มปริมาณการดูดซึมสารพลาสติกเข้าไปในอาหาร ได้*

แม้แต่พลาสติกที่ใช้กับเตาไมโครเวฟก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ อันตรายที่มักเกิดขึ้นคือผู้บริโภคมักใช้ภาชนะพลาสติกที่ไม่ได้ระบุว่าใช้ กับตู้อบไมโครเวฟอุ่นอาหาร ทำให้พลาสติกละลายเข้าไปในอาหารและยังทำลายรสชาติของอาหารที่อุ่น

*ข้อแนะนำสำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติก

*1.* เวลาอุ่นอาหารในตู้อบไมโครเวฟ เลือกภาชนะที่ทำจากแก้วหรือเซรามิคแก้ว หลีกการเลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติกแม้จะระบุว่าปลอดภัยในการใช้กับไมโครเวฟ

*2.* ไม่ใช้พลาสติกห่ออาหารในการปรุงหรืออุ่นอาหารในตู้อบไมโครเวฟ

*3.* อาหารประเภทเนื้อสัตว์หรือซีสใช้วัสดุประเภทโฟลีเอ็ทธีลีนห่อเพราะไม่มีสาร พลาสติก หรือถ้าจะให้ดีไปกว่านั้นห่อด้วยแผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์หรือกระดาษไข

*4.* อาหารที่เหลือ เก็บไว้ในภาชนะประเภทที่ทำด้วยแก้ว

*5.* ภาชนะพลาสติกที่เก่าชำรุดไม่ควรนำมาใช้ต่อ เตาไมโครเวฟ

*สิ่งที่ผู้บริโภคต้องระวังในการใช้เตาไมโครเวฟ* คือ ภาชนะที่ใช้ใส่อาหารประเภทโลหะ กระดาษอะลูมิเนียม นมบรรจุในกล่องกระดาษที่บุด้านในด้วยอะลูมิเนียม จานชามที่มีขอบเป็นโลหะเงินหรือโลหะทอง ไม่ควรใช้กับเตาไมโครเวฟ โลหะ เช่น ลวดที่ใช้มัดถุงพลาสติกควรแกะออก มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดการติดไฟและอาจเกิดไฟไหม้ภายในตู้อบไมโครเวฟได้

*สารรังสีที่รั่วจากเตาไมโครเวฟ มีอันตรายเพียงใด * ปริมาณของสารรังสีที่รั่วจากตู้อบไมโครเวฟค่อนข้างต่ำ และไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะก่อให้เกิดอันตราย สิ่งที่แม่บ้านควรระวังเป็นพิเศษ คือ เมื่อวัสดุตามขอบประตูชำรุดหรือหากมีรอยร้าวและรอยแตก เศษอาหารติดอยู่ตามขอบตู้ทำให้ประตูปิดไม่สนิท หรือ การชำรุดของตู้เนื่องจากการขนย้าย หรือเกิดเปลวไฟภายในตู้จะทำให้มีปริมาณรังสีรั่วมากกว่าระดับปกติซึ่งเป็น อันตรายได้

สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่ใส่เครื่องควบคุมระบบการทำงานของหัวใจ (pacemakers) โดยเฉพาะรุ่นเก่าซึ่งไม่สามารถจะป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจาก ตู้อบไมโครเวฟเหมือนเครื่องควบคุมรุ่นใหม่ ควรอยู่ห่างจากตู้อบไมโครเวฟประมาณ 5 ฟุต และพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ

มารู้จักวิธีป้องสิวกันดีกว่า

หลายๆ ท่านคงกังวลเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าว่าควรจะใช้ผลิตภัณฑ์ไหนดีที่เหมาะกับใบหน้าของเรา ตามหลักวิชาการแล้ว จุดประสงค์ในการล้างหน้าก็เพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกไป เช่น ฝุ่นละออง เขม่ารถยนต์ หรือเชื้อโรคที่ปลิวมาเกาะไขมันบนใบหน้า และแน่นอน ถ้าจะล้างสิ่งสกปรกเหล่านั้นออกไป ผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้นั้นจะต้องชำระเอาไขมันส่วนหนึ่งออกไปด้วย

สบู่โดยทั่วไปส่วนใหญ่มีฤทธิ์เป็นด่าง ค่า พี เอช มากว่า 8 ซึ่งจะสามารถชำระไขมันและสิ่งสกปรกออกไปได้ แต่อย่าลืม ผิวหน้าเราก็จะขาดสมดุลย์ อ่อนแอ แห้ง หยาบกร้านเช่นกัน ดังนั้นสบู่ที่ดีควรชำระสิ่งสกปรกได้ดี และไม่ดึงเอาไขมันบนใบหน้ามากไป ลาโนลิน เลซิติน ในทางเภสัชศาสตร์ มีสารทำความสะอาดล้วน ๆ คือ ซินเดท ซึ่งไม่ใช่สบู่ มีค่าพี เอช ใกล้เคียงผิวหนัง กำจัดสิ่งสกปรกได้ดี และทำลายผิวน้อยที่สุด

การล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้แต่งหน้า และเป็นผดผื่น แต่ถ้าผิวหน้ามัน แต่งหน้า คงต้องใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าล้างสิ่งสกปรกออกได้ดี และไม่ดึงไขมันออกมากจนเกินไป ค่าพี เอช ประมาณ 5-7 ดีที่สุด โดยรวมควรเป็นสบู่เหลวมากกว่าสบู่ก้อน แต่จะเป็นผลิตภัณฑ์ไหนคงต้องพิจารณาฉลากหรือสอบถามแพทย์ เภสัชกร

ส่วนใหญ่มากกว่า 50 % ของคนไข้ที่มาพบแพทย์มักจะมาด้วยเรื่องสิว และมากกว่า 80% ของคนไข้เหล่านั้นก็จะอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาวและน้อยกว่า 5% จะพบหลังอายุ 35 ปี พอเริ่มเข้าวัยรุ่นฮอร์โมนจะกระตุ้นให้เกิดสิว เริ่มด้วยสิวอุตตัน เปลี่ยนเป็นสิวอักเสบ และก็สิวหนอง และก็ทิ้งรอยดำกับแผลเป็นหลุม

แสงแดดแรง ๆ สารเคมี ฝุ่นละออง และอากาศที่แห้ง ก็มีส่วนทำให้เกิดสิวได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าเราเข้าใจสาเหตุและกระบวนการเกิดสิว คงจะสามารถป้องกันการเกิดสิวรวมทั้งหลุมและรอยดำที่จะเกิดขึ้น ไม่ต้องช้ำใจ ไม่ต้องเสียเงินเสียเวลามาก ๆ ในการรักษารอยดำและหลุม รวมทั้งไม่ต้องเสี่ยงกับการรักษาสิวที่ไม่ถูกวิธี นอกจากจะไม่หายแล้วยังอาจจะเพิ่มปัญหาอื่น ๆ บนใบหน้าอีกด้วย

วิธีการรักษารอยดำและแผลเป็นจากสิว รอยดำ แผลเป็นนูน และแผลหลุม เป็นปัญหาหนักใจของคนส่วนใหญ่ เพราะใช้เวลารักษานาน และใช้งบประมาณมากกว่าที่จะรักษาสิวตั้งแน่เนิ่น ๆ คือตั้งแต่ระยะสิวอุดตัน และระยะสิวอักเสบ ซึ่งจะหายได้เร็วกว่า

รอยสิวดำ แพทย์ยังไม่ถือว่า เป็นแผลเป็นเหมือนหลุมหรือรอยนูน ปกติทิ้งไว้สัก 5-6 เดือน ก็พอจะจางหายไปเองได้ แต่ถ้าต้องการให้หายเร็ว ต้องใช้ยาครีมที่มี กรดวิตามิน เอ อาจจะร่วมกับทำการผลัดผิวด้วย AHA ด้วย ก็จะทำให้รอยดำสิวจางหายได้เร็วกว่าเดิม

ส่วนรอยนูนกับหลุมสิว ถ้าทิ้งไว้ก็อยู่กับเราไปตลอดชีวิต แผลเป็นนูนที่เกิดตามหลังสิวอักเสบมักเกิดบริเวณจมูก, คาง, และขมับ แพทย์จะพิจารณาให้ยาทาและฉีดยาเข้าที่รอยนูนให้ยุบ การรักษาแผลเป็นนูนเนี่ย ต้องปรึกษาแพทย์โดยตรง เพราะเครื่องสำอางทั่วไป ช่วยให้นูนนุ่มขึ้นเท่านั้น แทบจะไม่สามารถทำให้ยุบได้เลย

สำหรับรอยหลุมสิว การรักษาเริ่มตั้งแต่ เพียงแค่ทายาครีมกระตุ้นการผลัดผิวชั้นหนังกำพร้า พร้อมกับกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่และกระตุ้นชั้นหนังแท้ ต่อมาก็ร่วมกับการผลัดผิวด้วย AHA เพิ่มเติมด้วยเทคนิค แต้มน้ำยา TCA กระตุ้น ถ้าเป็นมากๆ อาจพิจารณากรอผิวหน้าด้วยเครื่องกรอ หรือ เลเซอร์ก็ได้ วิธีการต่างๆ แพทย์จะต้องตรวจและให้ข้อแนะนำ เพื่อความเหมาะสมของคนไข้แต่ละรายไป จากหลักฐานงานวิจัย ไม่มีเครื่องสำอางใดทาแล้วรักษาหลุมสิวได้ สำหรับไอออนโตโฟเรสิส ผลงานวิจัยยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าช่วยได้จริงหรือไม่

วิธีดูแลรักษา แปรงสีฟัน

แปรงสีฟันที่ใช้กันเป็นประจำ อาจเป็นที่รวมตัวของเชื้อแบคทีเรีย วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีดูแลรักษาแปรงสีฟันมาฝากกัน...

วิธีดูแลรักษาแปรงสีฟัน

- อย่าใช้แปรงสีฟันร่วมกัน เพราะการใช้แปรงร่วมกัน โอกาสสัมผัสกับน้ำลาย เลือด ของอีกคนได้ง่ายมาก ๆ เสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยตรง

- ล้างขนแปรงด้วยน้ำก๊อก หลังจากแปรงฟันเสร็จ เพื่อเอายาสีฟันที่ค้างและสิ่งสกปรกออก แล้ววางให้ตั้งตรง ให้ขนแปรงถูกอากาศพัดให้แห้ง หากมีแปรงหลายอัน ก็อย่าให้ขนแปรงมาชนกันหรือสัมผัสกันเพื่อป้องกันการปนเปื้อน

- อย่าเก็บแปรงในกล่องปิด เพราะแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ดีในที่ชื้น ๆ แต่ถ้าขนแปรงถูกอากาศ ก็จะไม่เปียก แบคทีเรียไม่ชอบ

- ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก ๆ 3-4 เดือน อย่าใช้แปรงจนขนแปรงบาน เพราะประสิทธิภาพในการขจัดเอาเศษอาหารจะลดลง แถมยังอาจทำร้ายเหงือกอีกด้วยรู้อย่างนี้แล้วก็เก็บรักษาแปรงสีฟันให้ดี ๆ เพื่อห่างไกลจากแบคทีเรีย

สูตรพอกหน้า 7 ประเทศ

หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่อยากมีใบหน้าสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ วันนี้เรามีสูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ ที่สรรหามาจากทั่วโลกให้คุณได้บำรุงผิวหน้าของคุณ ให้คุณมีผิวที่ขาวใส แลดูอ่อนกว่าวัยคะ

แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (ประเทศสเปน)

วิธีการ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี

แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล (ประเทศเบลเยี่ยม)

วิธีการ : ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก

แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแตงโม (ประเทศตุรกี)

วิธีการ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)

วิธีการ : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (ประเทศฝรั่งเศส)

วิธีการ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (ประเทศญี่ปุ่น)

วิธีการ : ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด

แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (ประเทศรัสเซีย)

วิธีการ : สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ จะเห็นว่าสูตรหน้าที่กล่าวมาทั้งหมด ทำได้ง่ายๆ จากของใกล้ๆ ตัวอันมาจากธรรมชาติโดยเฉพาะ ลองเลือก ใช้สูตรใดสูตรหนึ่งดู แล้วแต่คุณถนัดหรือพอจะหาวัตถุดิบได้ รับรองว่าใบหน้าขาวสวยใสคงอยู่ไม่ไกลเกิน เอื้อมแน่นอน...

10 เคล็ดลับการเลิกบุหรี่

1. ขอคำปรึกษาเพื่อให้มีแนวทางในการเลิกสูบบุหรี่ อาจโทรศัพท์เพื่อขอคำแนะนำในการเลิกสูบบุหรี่ได้ที่ ควิทไลน์ หมายเลข 1600 หรือขอคำปรึกษาจากคนที่รู้จักที่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้ สำเร็จ

2. หากำลังใจควรบอกให้คนใกล้ชิดได้ทราบถึงความตั้งใจที่จะเลิกสูบบุหรี่ เพราะกำลังใจจากคนรอบข้างจะช่วยให้มีความพยายามที่จะเลิกสูบบุหรี่ให้ได้

3. เป้าหมายอยู่ข้างหน้าควรวางแผนในการปฏิบัติตัวในระหว่างการเลิกสูบบุหรี่ โดยกำหนดวันที่จะลงมือเลิกสูบบุหรี่ อาจเลือกเอาวันสำคัญต่าง ๆ ของครอบครัว เช่น วันเกิดตัวเอง วันครบรอบแต่งงาน หรือวันเกิดลูก เป็นต้น

4. ไม่รอช้า...ลงมือควรเตรียมตัวให้พร้อมด้วยการทิ้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ให้หมด เตรียมผลไม้หรือขนมขบเคี้ยวที่ไม่หวานหรือไม่ทำให้อ้วนไว้ เพื่อช่วยในการลดความอยากสูบบุหรี่ รวมทั้งปรับเปลี่ยนกิจกรรมที่มักทำร่วมกับการสูบบุหรี่ เช่น อ่านหนังสือแทนการสูบบุหรี่ระหว่างเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำ กินผลไม้ ลุกไปจากโต๊ะอาหารทันทีที่กินอาหารเสร็จ หรือแปรงฟันทุกครั้งหลังกินอาหารเพื่อลดความอยากสูบบุหรี่หลังอาหาร

5. ถือคำมั่น...ไม่หวั่นไหวเมื่อถึงวันลงมือ ขอให้ตื่นนอนด้วยความสดชื่น บอกกับตัวเองว่ากำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและคนใกล้ชิด เมื่ออยากสูบบุหรี่ก็ขอให้ทบทวนถึงเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ล้างหน้า ดื่มน้ำ อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ไม่สูบบุหรี่หรือเล่นกับลูกให้มากขึ้น ก็จะช่วยให้ผ่านพ้นความอยากสูบบุหรี่ได้ง่ายขึ้น

6. ห่างไกล สิ่งกระตุ้นในระหว่างนี้ ขอให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะทำให้อยากสูบบุหรี่ เช่น ถ้าเคยดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์แล้วต้องสูบบุหรี่ด้วย ก็ควรงดดื่มในช่วงนี้ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการอยู่ท่ามกลางคนสูบบุหรี่ด้วย

7. ไม่หมกมุ่นความเครียดเมื่อรู้สึกเครียด ให้หยุดพักสมองสักครู่ คลายความเครียดด้วยการพูดคุยกับคนอื่น ๆ หรือหาหนังสือไว้อ่านบ้างก็ได้ พึงระลึกไว้เสมอว่ามีคนไม่สูบบุหรี่อีกมากที่คลายความเครียดได้โดยไม่ต้อง สูบบุหรี่

8. เจียดเวลา ออกกำลังกายควรจัดเวลาออกกำลังกายบ้าง อย่างน้อยวันละ 15-20 นาที เพราะนอกจากจะเป็นการควบคุมน้ำหนักที่อาจเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้สมองปลอดโปร่ง เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหัวใจและปอด ถ้าไม่มีเวลาก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ เช่น กดลิฟท์ให้ต่ำกว่าชั้นที่ต้องการ 1 ชั้น เพื่อที่จะได้เดินออกกำลังกายบ้าง หรือควรใช้จักรยานในการเดินทางใกล้ ๆ

9. ไม่ท้าทายบุหรี่อย่าคิดว่าจะลองสูบบุหรี่บ้างเป็นครั้งคราวคงไม่เป็นไร เพราะการทดลองสูบเพียงม้วนเดียว อาจหมายถึงการหวนคืนไปสู่ความเคยชินเก่า ๆ อีก

10. หากต้องเริ่มต้นใหม่อีกที ก็อย่าท้อถ้าหันกลับไปสูบอีก นั่นไม่ได้หมายถึงโลกได้ล่มสลายแล้ว ไม่ได้แปลว่าเป็นคนล้มเหลว อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้ที่จะปรับปรุงตัวในคราวต่อไป ขอให้ถือว่า อาจพ่ายแพ้ในบางสมรภูมิ แต่จะเป็นผู้ชนะสงครามในที่สุด ขอเพียงพยายามต่อไป จนเตรียมตัวให้พร้อม กำหนดวันที่จะหยุดและหยุดต่อไปตลอดกาลเพื่อสุขภาพที่ดี ลองหันมาเลิกบุหรี่กันดีกว่า.

มือ..บอกสุขภาพ

อาการนิ้วชา

คุณรู้สึกว่ามือเย็นและชาๆ บ่อยไหม แม้ว่าอากาศจะไม่ได้หนาวก็ตาม ถ้ามีปัญหานี้อาจแสดงว่าคุณกำลังเผชิญกับโรคเรย์นอยด์ (Raynaud’s Disease) ซึ่งเป็นสาเหตุให้เส้นเลือดบริเวณมือตีบ ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่ดี ทำให้เกิดอาการชา นิ้วมือซีดขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ในทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ แต่น่าจะเชื่อมโยงกับการเป็นรูมาตอยด์ และมีแนวโน้มว่ายิ่งอายุมากขึ้นอาการของโรคจะยิ่งเลวร้ายตามไปด้วย

คุณจะทำอะไรได้บ้าง

การปรับระบบการไหลเวียนโลหิตคือกุญแจสำคัญ ขิงสามารถช่วยปรับการไหลเวียนให้ดีขึ้นได้ ลองดื่มน้ำขิงร้อนๆ วันจะแก้ว ส่วนใบแปะก๊วยก็ช่วยการไหลเวียนเลือดได้ดีเช่นเดียวกัน หรือรับประทานผลไม้จำพวกผลเบอร์รี่ ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยขยายหลอดเลือด

เหงื่อออกที่ฝ่ามือ

สำหรับบางคนอาการที่เกิดขึ้นในวัยหมดประจำเดือนทำให้เหงื่อออกที่มือได้ เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายเปลี่ยนแปลง อาจปรับตัวไม่ทัน มีเหงื่อออกมาเพื่อระบายหรือปรับความร้อนในร่างกายให้เย็นลง หรืออาจเกิดขึ้นเมื่อคุณมีความเครียดด้วยก็ได้

คุณจะทำอะไรได้บ้างสมุนไพรบางอย่างสามารถช่วยลดอาการเหงื่อออกในวัยหมดประจำเดือนได้ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มร้อนๆ และอาหารรสจัด ซึ่งจะไปเพิ่มความร้อนในร่างกาย หากรู้สึกเครียด ให้หยดน้ำมันหอมกลิ่นลาเวนเดอร์สัก 2-3 หยดลงบนกระดาษทิชชู เอาไว้สูดดมเมื่อรู้สึกเครียด

จุดสีน้ำตาล และริ้วรอยเหี่ยวย่น

รอยจุดสีน้ำตาลที่ปรากฏบนมือ เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี เนื่องจากโดนแสงแดดเป็นเวลานาน มักจะเกิดขึ้นกับคนในวัย 40 ขึ้นไป หากเกิดขึ้นกับผิวของคุณ แสดงว่าถึงเวลาแล้วที่คุณต้องหันมาใส่ใจกับการทาครีมกันแดดให้มากขึ้น ส่วนริ้วรอยเหี่ยวๆ ย่นๆ บนมือก็บ่งชี้ว่าผิวพรรณกำลังขาดความชุ่มชื้นอย่างหนัก

คุณจะทำอะไรได้บ้าง

จุดเหล่านี้สามารถจางลงได้ง่ายๆ ด้วยการใช้น้ำมะนาวมานวดถูมือเป็นประจำ และอย่าลืมทาครีมสำหรับทามือที่มีส่วนผสมของสารกันแดด แม้ว่าจะเป็นหน้าฝนก็ตาม การเลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างผัก ผลไม้สดก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวโดนแผดเผาทำลายจากแสงแดดได้วิธีหนึ่ง หรือถ้าต้องการป้องกันอย่างล้ำลึกก็อาจทานอาหารเสริมร่วมด้วยก็ได้คุณสามารถวัดอายุผิวด้วยวิธีง่ายๆ โดยการดึงผิวหนังบริเวณหลังมือแล้วปล่อย หากผิวไม่กลับคืนเหมือนเดิมในทันที แสดงว่ากำลังขาดความชุ่มชื้นอย่างหนัก ควรดื่มน้ำให้มากขึ้นให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อคืนความเปล่งปลั่งชุ่มชื้นให้ผิวเหมือนสมัยสาวๆ

ปวดมือ

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ และเริ่มรู้สึกปวดหรือเมื่อยล้าบริเวณมือและข้อ นั่นเป็นเพราะคุณพิมพ์ดีดเป็นเวลานานเกิน ทำให้เส้นเอ็นถูกใช้งานมากเกินไป จนรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณมือคุณจะทำอะไรได้บ้าง ควรพักจากการใช้คอมพิวเตอร์ไปทำอย่างอื่นเสียบ้าง เปลี่ยนอิริยาบถ ลุกขึ้นบิดขี้เกียจคลายความเมื่อยล้า หรือเดินบ้าง อาจลุกไปชงกาแฟ หรือจะนั่งออกกำลังให้มือด้วยวิธีง่ายๆ ก็ได้ เริ่มโดยกำมือให้แน่นประมาณ 10 วินาที จากนั้นคลายมือออกโดยพยายามกางนิ้วมือให้ยืดออกมากที่สุดเท่าที่จะยืดได้ แล้วปล่อยมือตามปกติ ก่อนจะทำซ้ำตั้งแต่เริ่มอีก 5-10 ครั้ง

ผื่นแดง

ผื่นแดง และอาการแสบร้อนที่มักเกิดบริเวณหลังมือ ส่วนใหญ่เป็นผลจากการแพ้สารเคมี อย่าง ผงซักฟอก หรือพวกน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ และบางครั้งอาจจะเกิดจากการใช้ถุงมือยางเป็นเวลานาน จนทำให้ผิวอ่อนบาง แพ้ง่าย โดนอะไรนิดหน่อยก็คันและเป็นผื่นง่าย

คุณจะทำอะไรได้บ้าง

ทาครีมสำหรับลดผื่นคัน หากต้องการป้องกันไม่ให้เกิดอาการผื่นแดงขึ้นอีก สามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวด้วยการนวดด้วยน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันจากเมล็ดอัลมอนด์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และพยายามหลีกเลี่ยงสารเคมีที่แพ้ ไปใช้พวกผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่ายที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีนั้นๆ แทน

หัตถศาสตร์ : ศาสตร์แห่งการดูลายมือ

นักอ่านลายมือเชื่อว่าเส้นสำคัญที่เชื่อมโยงกับสุขภาพของคนเราคือเส้นชีวิต ลองมองดูที่มือข้างซ้ายสิ จะเห็นจุดเริ่มต้นของเส้นชีวิตจะอยู่ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้โค้งยาวลงไปถึงฐานของมือ เส้นนี้แสดงถึงระดับพลังอันเข้มแข็ง ขณะที่เส้นเล็กๆ ที่แยกออกไปจากเส้นนี้บ่งชี้ว่าเจ้าของฝ่ามือกำลังเผชิญกับความเครียด เส้นสมอง อยู่ถัดขึ้นไปจากเส้นชีวิต เชื่อมโยงกับเรื่องของอารมณ์ สุขภาพจิต หากมีเส้นตัดจนเกิดเป็นแท่งเล็กๆ แสดงว่าคุณกำลังอยู่ในภาวะซึมเศร้าหรือกังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่

เส้นหัวใจ เป็นเส้นที่อยู่บนเส้นสมอง เส้นนี้จะบอกเกี่ยวกับชีวิตรักและสุขภาพของหัวใจ ถ้ามีจุดๆ เกาะกลุ่มกันเหมือนเกาะเล็กๆ แสดงว่าคุณมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด ส่วนเส้นสุขภาพ คือเส้นระหว่างนิ้วก้อยและนิ้วนางที่โค้งลงไปถึงฐานของนิ้วหัวแม่มือ เป็นเส้นที่บ่งชี้ถึงสุขภาพกาย ถ้าเห็นไม่ชัดหรือไม่มีเส้นนี้ แสดงว่าสุขภาพของคุณยังแข็งแรงดีอยู่ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

นวดกดจุด

นักนวดกดจุดเชื่อว่าจุดต่างๆ บนฝ่ามือนั้นเชื่อมโยงกับอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย การนวดกดจุดเหล่านี้สามารถช่วยวิเคราะห์และรักษาอาการผิดปกติต่างๆ ของอวัยวะเหล่านั้นได้ อย่างอวัยวะที่เป็นคู่ เช่น ปอด จะเชื่อมโยงกับจุดบนมือทั้งสองข้าง ขณะที่อวัยวะใดที่อยู่ด้านซ้ายของร่างกายก็จะเชื่อมโยงกับจุดบนมือซ้าย เช่นเดียวกับอวัยวะด้านขวาก็จะปรากฏตำแหน่งของมันอยู่ที่มือขวา นักบำบัดจะรู้เมื่อกดลงไปเจอจุดบอบบางหรือก้อนเล็กๆ ว่ามันกำลังบ่งชี้ถึง “พลังอันอ่อนล้า” ของอวัยวะส่วนใด

คุณสามารถนวดกดจุดฝ่ามือได้ด้วยตัวเอง โดย

- ลดอาการคั่งของเลือด : นวดปลายนิ้วโดยเริ่มจากนิ้วก้อยแล้วไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงนิ้วหัวแม่มือ จะช่วยลดอาการของไซนัสได้

- ลดความเครียด : บริเวณที่ติดกับฐานของนิ้วหัวแม่มือเชื่อมโยงกับต่อมควบคุมเกลือและน้ำของร่างกายซึ่งจะทำงานหนักเมื่อคุณเครียด ลองนวดเบาๆ สิ จะช่วยลดความตึงเครียดในวันอันแสนยุ่งเหยิงของคุณได้ดีทีเดียว

การอ่านลายมือแบบจีน

ทางตำราแพทย์จีน รูปทรงของมือสามารถบ่งบอกถึงบุคลิกของคุณได้นะ มาดูสิว่าคุณเป็นคนแบบไหนบ้าง

- ฝ่ามือทรงสี่เหลี่ยม-นิ้วสั้น : เป็นคนใฝ่รู้ ชอบฝึกฝนทดลองและขยัน

- ฝ่ามือยาว-นิ้วสั้น : เป็นคนที่มีลางสังหรณ์ และบางครั้งก็หุนหัน ใจเร็ว

- ฝ่ามือยาว-นิ้วเรียวยาว : เป็นคนอ่อนไหวและมีความเป็นศิลปินอยู่ในตัว

- ฝ่ามือเป็นสี่เหลี่ยม-นิ้วยาว : เป็นคนฉลาด ไหวพริบปฏิภาณดี

เป็นไมเกรนแล้วลดโอกาสการเป็นมะเร็งเต้านมจริงหรือ?

มันอาจจะมีด้านดีของผู้ที่ทรมาณจากไมเกรนก็เป็นได้ งานวิจัยชิ้นใหม่ได้ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงที่เคยปวดหัวอย่างรุนแรงมาก่อนอาจจะมีแนวโน้มน้อยลงถึง 30 เปอร์เซนต์ในการที่จะเป็นมะเร็งเต้านมแทนเพื่อนที่ไม่เคยปวดหัวมาก่อนเลยของพวกเขา

“มันอาจจะเป็นการรักษาที่ใช้สำหรับไมเกรนที่มีส่วนต่อการลดลงของความเสี่ยงดังกล่าวแทนที่จะเป็นตัวไมเกรนของมันเอง “ Christopher Li ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งจาก Fred Hutchinson Cancer Research Centerในรัฐ Seattle กล่าว “เรากำลังถอดความหมายของผลลัพธ์ที่ได้มาอย่างระมัดระวัง”

ถ้ายาระงับปวดนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ เขาคิดว่าระดับที่ต่ำลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนอาจจะอยู่เบื้องหลังทั้งไมเกรนและอัตราที่ลดลงของการเป็นมะเร็ง การวิจัยของเน้นย้ำว่าไมเกรนนั้นเป็นเป็นเรื่องปกติระหว่างช่วงเป็นประจำเดือน ( เวลาที่มีการลดลงของเอสโตรเจน ) มากกว่าเวลาอื่นๆของเดือนและในช่วงการตั้งครรภ์ (เวลาระดับของเอสโตรเจนขึ้นสูง) มะเร็งเต้านมนั้นได้ถูกเชื่อมโยงกับระดับองเอสโตรเจนที่เพิ่มมากขึ้นผ่านช่วงชีวิตหนึ่งของผู้หญิง“

จริงๆแล้วผมไม่แปลกใจเลยที่ความเกี่ยวข้องประเภทดังกล่าวจะมีอยู่” นักประสาทวิทยา Andrew Charles ผู้อำนวยการวิจัยอาการปวดหัวที่ University of California, Los Angeles และไม่ได้เกี่ยวข้องในงานวิจัยชิ้นนี้ แต่เขาชี้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไมเกรนและฮอร์โมนนั้นซับซ้อนและพันธุกรรมนั้นสามารถอยู่ภายใต้ความเชื่อมโยงระหว่างไมเกรนและเนื้องอกได้ “ผมคิดว่ามันยังจะมีความเป็นไปได้อื่นๆอีก” เขากล่าว

Li กล่าวว่านี่เป็นงานวิจัยครั้งแรกที่สำรวจความสัมพันธ์ที่เป็นไปได้ระหว่างไมเกรนและมะเร็งเต้านม แต่เขาชี้ว่ายาที่ถูกกินเข้าไปโดยคนไข้ไมเกรนอาจจะนับรวมถึงความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ลดน้อยลงอย่างเช่นงานวิจัยชิ้นก่อนได้แสดงเอาไว้

มันยังเป็นไปได้อีกว่าผู้หญิงที่เป็นไมเกรนนั้นไปพบแพทย์บ่อยขึ้นและดังนั้นจึงจบลงด้วยการที่มีสุขภาพโดยรวมที่ดีขึ้น แต่ Li ได้ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงที่มีการพบแพทย์ที่บ่อยขึ้นอาจจะมีการตรวจเต้านมด้วยการเอกซ์เรย์ที่บ่อยครั้ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับอัตราการตรวจมะเร็งเต้านมที่สูงขึ้น “มันเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะคิดว่านั่นจะรวมไปถึงสัดส่วนสำคัญของสิ่งที่เรากำลังมองดูอยู่” เขากล่าว

Li บอกว่าทั้งเขาและเพื่อนร่วมงานของเขาที่ศูนย์วิจัยและมหาวิทยาลัย Washington พบได้ถึงความสัมพันธ์กันระหว่างไมเกรนและมะเร็งเต้านมระหว่างการตรวจสอบของผู้หญิงก่อนจะหมดประจำเดือน 2,000 ที่เป็นมะเร็งเต้านม และอีก 1,500 คนที่ไม่เป็น ในการค้นพบของพวกเขา ที่ได้ถูกตีพิมพ์ลงวันนี้ในวารสาร Cancer Epidemiology , Biomarkers & Prevention บอกว่า ผู้หญิงที่บอกว่าพวกเขาตรวจไมเกรนอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตของพวกเขานั้นมีโอกาสน้อยลง 30 เปอร์เซนต์ในการจะเป็นมะเร็งเต้านมร้ายแรง การสำรวจดังกล่าวไม่ได้ถามคนเหล่านั้นเกี่ยวกับตัวยาที่ใช้ในการเยียวยาอาการไมเกรนของพวกเขา

Li บอกว่าเขาหวังว่าการวิจัยต่อๆไปจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเข้าใจความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้ระหว่างเอสโตรเจนและมะเร็งเต้านมที่ดีขึ้น และยังพัฒนาหนทางที่จะลดการเป็นโรคดังกล่าว แต่ก่อนอื่นเขาคงต้องประกาศเสียก่อนว่ามันไม่ใช่แค่เพียงตัวยาเท่านั้น

อาหาร 10 อย่างที่ควรมีไว้ในตู้เย็น

อาหารประเภทไหนที่ควรมีไว้ในตู้เย็น วันนี้มีมาบอก...

- น้ำเปล่า

"น้ำ" ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ

- ผัก

"ผัก" ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เกลือแร่ อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้

- ไข่ไก่

"ไข่ไก่" เพราะในไข่ไก่มีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ , บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก , สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิด ๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก

- นม

"นม" ในที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้ เย็น เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัว เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีนซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีน จากถั่วเหลือง

- เนื้อปลา

"เนื้อปลา" เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสาอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

- ผลไม้รสเปรี้ยว

ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง,ฝรั่ง, กีวี่ ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ที่สำคัญวิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย

- โยเกิร์ต

"โยเกิร์ต" มีวิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี1, บี2, บี3, บี6, บี12, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ก่อนซื้อต้องอ่านฉลากให้ดีก่อนว่าในโยเกิร์ตรสและยี่ห้อนั้น ๆ มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารอะไรบ้าง แนะนำว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่มีน้ำตาลน้อยดีที่สุด

- แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบตาแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น และถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือก เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง 1 ผลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัม

- ถั่ว

“ถั่ว” ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียว ดังนั้นคนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล

- ธัญพืช

"ธัญพืช" จำพวกข้าวโพด , ลูกเดือย ,งา ,ข่าวฟ่าง,เมล็ดทานตะวัน, จมูกข้าว, รำจ้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มากทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำเกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์รู้อย่างนี้แล้วลองหาอาหารแต่ละชนิดมาติดไว้ในตู้เย็น เพื่อสุขภาพที่ดี.

10โรคประหลาด ที่ไม่น่าเป็นที่สุดในโลก

โลกเรายังมีโรคแปลกๆ ที่ยังรักษาไม่หายอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่แพทย์ยังไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ซึ่ง 10 โรคต่อไปนี้เราอาจจะเคยได้ยิน หรือเห็นคนเป็นโรคมาบ้าง แต่บางโรคก็ไม่เคยได้ยินเลย และเพิ่งจะรู้ว่ามีโรคนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ

1 .โรคค็อดทาร์ดหรือโรคศพเดิน (Walking Corpse Syndrome)เป็นหนึ่งในโรคทางจิต ตั้งชื่อตามนายแพทย์จูลส์ ค็อดทาร์ด แพทย์ด้านสมองชาวฝรั่งเศส ที่พบว่าผู้ป่วยคนหนึ่งของเขาเป็นโรคนี้ นายแพทย์ค็อดทาร์ดกล่าวถึงผู้ป่วยที่เขารักษาว่า "เธอไม่เชื่อว่าเธอมีอวัยวะ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องกินอาหาร"ผู้ป่วยมีความเชื่อว่าสูญเสียอวัยวะสำคัญ แม้กระทั่งสูญเสียวิญญาณ ผู้ที่เป็นมากๆ จะเชื่อว่าตนตายไปแล้ว ทั้งยังได้กลิ่นเหม็นเน่าจากเนื้อของตัวเอง รู้สึกว่าเหมือนหนอนกำลังกัดกินเนื้อ บางคนเชื่อว่าตัวเองไม่มีกระเพาะ จึงไม่กินอาหาร เป็นไปได้ว่าผู้ที่เป็นโรคเสพยาบ้า โคเคน มากเกินไป และอาจเกี่ยวข้องกับโรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน

2.โรคแวมไพร์ซินโดรม ได้ชื่อว่าแวมไพร์ต้องนึกถึงผีค้างคาวดูดเลือด ที่ออกอาละวาดในยามราตรี แต่กลัวแสงสว่างเป็นที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้ก็เช่นกัน คือกลัวแสงสว่าง เพราะเมื่อถูกแสงแดดแล้วจะเจ็บปวดอย่างมหาศาล ผิวแห้งแตกเป็นขุย มีรอยไหม้

3. โรคจัมพิ่ง เฟรนช์แมน ออฟ เมน (Jumping Frenchman of Maine Disorder) เป็นโรคที่นายแพทย์จอร์จ มิลเลอร์ เบียร์ด อธิบายไว้เป็นคนแรก เมื่อค.ศ.1878 คาดว่าผู้ป่วยที่เขาพบนั้นเป็นชายชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ผู้ป่วยจะเกิดอาการเมื่อถูกกระตุ้น เช่น ถ้าตะโกนดังๆ ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ป่วยก็จะทำตามนั้น เช่น มีผู้ตะโกนว่า "ตบหน้าเมีย" ก็จะกระโดดเข้าไปตบหน้าภรรยาของตนเองทันที หรือถ้าได้ยินประโยคแปลกๆ ประโยคที่เป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะพูดประโยคนั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

4.โรคเส้นบลาชโค (Blaschko"s lines) ผู้เป็นโรคจะลายริ้วๆ ไปทั้งตัว นับเป็นโรคหายากอีกโรคหนึ่ง ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักกายวิภาค ผู้ที่กล่าวถึงโรคนี้เป็นครั้งแรกคือนายแพทย์อัลเฟรด บลาชโค แพทย์ด้านผิวหนังชาวเยอรมัน ที่กล่าวถึงอาการของผู้เป็นโรคเมื่อค.ศ.1901 บริเวณกระดูกสันหลังจะเป็นเส้นรูปตัว V บริเวณหน้าอก ท้อง และข้างลำตัวจะเป็นเส้นรูปตัว S

5.โรคพิคา หรือโรคที่กินวัตถุที่ไม่สามารถบริโภคได้ ผู้ที่เป็นโรคจะมีความอยากกินวัตถุที่ไม่ใช่อาหารมาก เช่น ดิน กระดาษ กาว โคลน ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีวิธีรักษา แต่เป็นไปได้ว่าร่างกายขาดแร่ธาตุบางอย่าง

6.โรคอลิซในแดนมหัศจรรย์ หรือ "ไมครอพเซีย" เกิดจากความผิดปกติของสมอง ที่แปรสัญญาณไปยังสายตาผู้ป่วยให้มองทุกอย่างเล็กจากความเป็นจริง ทั้งที่สายตาของผู้ป่วยไม่มีความผิดปกติใดๆ เช่น มองสุนัขที่เลี้ยงไว้ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่าหนู รถยนต์คันใหญ่ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่ากับรถเด็กเล่น

7.โรคบลูสกิน หรือ "โรคผิวสีน้ำเงิน" ผู้เป็นโรคจะมีร่างกายเป็นสีน้ำเงิน ที่สหรัฐเมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ครอบครัวของนายมาร์ติน ฟูเกต เด็กกำพร้าชาวฝรั่งเศส และเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณลำธารทร็อบเบิ้ลซัมครีก รัฐเคนตั๊กกี้ เมื่อค.ศ.1820 เป็นโรคนี้กันอย่างถ้วนหน้า เริ่มจากที่นายฟูเกตเองที่เป็นโรคอยู่แล้ว เมื่อเขาสมรสกับหญิงปกติ ลูก 4 ใน 7 คนเป็นโรคสีน้ำเงินเหมือนพ่อ ลูกหลานที่มาจากเชื้อสายนี้อีก 6 ชั่วคนยังเป็นโรคนี้ด้วย โดยหนูน้อยเบนจามิน สเตซี่ ที่มีเชื้อสายฟูเกต เป็นคนในตระกูลล่าสุดที่เป็นโรค โชคดีที่เด็กชายไม่เป็นมาก เพียงไม่นานหลังจากเกิดก็หาย ปัจจุบันเด็กชายอายุ 8 ขวบ

8.โรคเวอร์วูล์ฟซินโดรม ผู้ป่วยจะมีขนยาวรุงรังตามหน้าตา แขนขา ทุกส่วนของร่างกาย คาดว่าปัจจุบันมีผู้เป็นโรคประมาณ 50 คนจากทั่วโลก เช่น เด็กชายปรัชวิราช พาทิล ชาวอินเดีย ที่ต้องเจ็บปวดจากการล้อเลียนของเพื่อนๆ และสังคม ซึ่งครอบครัวพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือ ทั้งใช้เลเซอร์แบบแพทย์แผนปัจจุบัน ไปจนถึงการรักษาแบบทางเลือก อายุรเวช

9.โรคมือเท้าช้างหรือ "เอเลแฟนต์เทียซิส" เป็นโรคที่พบเห็นกันค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มียุง เนื่องจากยุงเป็นพาหะของโรค โดยจะแพร่หนอนปรสิตวูชีเรเรียแบนครอฟตี หนอนปรสิตบรูเจียมาลายี หนอนปรสิตบี.ทิโมลี มายังคน ทำให้ไข่ของหนอนปรสิตเข้ามาในกระแสเลือดและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย มันอาจใช้เวลาฟักตัวนานหลายปี

ที่เว็บไซต์ของโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนระบุว่า โรคมือเท้าช้างเป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้ายอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรค อาการที่เห็นได้ชัดคือ ขา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง

โรคเท้าช้างในประเทศไทยมี 2 ชนิด ชนิดแรกเกิดจากเชื้อบรูเจียมาลายี มักมีอาการแขนขาโต พบมากในบริเวณที่ราบทางฝั่งตะวันออกของภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงนราธิวาส โดยมี "ยุงลายเสือ" เป็นพาหะ ยุงชนิดนี้กัดกินเลือดของสัตว์และคน ชอบออกหากินเวลากลางคืน มีแหล่งเพาะพันธุ์ตามแอ่งหรือหนองน้ำที่มีวัชพืชและพืชน้ำต่างๆ เช่น จอก ผักตบชวา แพงพวยน้ำ หรือหญ้าปล้อง

ชนิดที่สองเกิดจากเชื้อวูชีเรเรียแบนครอฟตี มักทำให้เกิดอาการบวมโตของอวัยวะสืบพันธุ์และแขนขา พบมากในบริเวณภาคตะวันตกของประเทศไทย เช่น ที่อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อำเภอละอุ่น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เป็นต้น ยุงพาหะนำโรคเท้าช้างชนิดนี้ได้แก่ "ยุงลายป่า" เพาะพันธุ์ตามป่าไผ่ ในโพรงไม้ และกระบอกไม้ไผ่ ปัจจุบันพบว่าเชื้อโรคเท้าช้างชนิดวูชีเรเรียแบนครอฟตี สายพันธุ์ที่นำเข้าโดยผู้อพยพจากชายแดนไทย-พม่า มียุงพาหะหลายชนิดรวมทั้งยุงรำคาญ ซึ่งเป็นยุงบ้านที่พบได้ทั่วไป

คนที่มีอาการมักจะเกิดจากการที่ถูกยุงที่มีเชื้อพยาธิเท้าช้างกัดซ้ำหลายครั้ง อาการในระยะแรก ผู้ป่วยอาจมีไข้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมและท่อน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรืออัณฑะ เนื่องจากพยาธิตัวแก่ที่อยู่ในท่อน้ำเหลืองสร้างความระคายเคืองแก่เนื้อเยื่อภายใน รวมทั้งมีการปล่อยสารพิษออกมาด้วย อาการอักเสบจะเป็นๆ หายๆ อยู่เช่นนี้ และจะกระตุ้นให้เกิดอาการบวมขึ้น หากเป็นนานหลายปีจะทำให้อวัยวะนั้นบวมโตอย่างถาวรและผิวหนังหนาแข็งขึ้นจนมีลักษณะขรุขระ

10.โรคโพรจีเรีย หรือ "โรคแก่ก่อนวัยอันควร" เป็นโรคที่เกิดจากรหัสทางพันธุกรรมตัวหนึ่งบกพร่อง ทำให้ผู้ป่วยมีรูปร่างหน้าตาแก่กว่าอายุจริงมาก ส่วนใหญ่แล้วเด็กจะอายุสั้น คือไม่เกิน 13 ปี มักเสียชีวิตจากสาเหตุหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย อาการของผู้เป็นโรคคือ หัวล้าน กระดูกบาง มีรูปร่างเตี้ยแคระ มักเจ็บปวดตามข้อ แต่เมื่อแรกเกิดแล้วจะดูเหมือนกับเด็กปกติ

อันตราย! ดื่มน้ำเกินพิกัด

ควรดื่มวันละ 8-10 แก้ว หรือประมาณ 1,200 ซีซี

นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข 9 กรมอนามัย ในฐานะโฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 2 ถูกรุ่นพี่ทำโทษโดยให้ดื่มน้ำจนจุกแน่นหมดสติ ต่อมาเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว ว่า

ร่างกายประกอบด้วยน้ำร้อยละ 70

ถือว่าน้ำเป็นสารอาหารจำเป็นสำหรับร่างกายร่วมกับอาหารทั้ง 5 หมู่ ร่างกายควรได้รับน้ำสะอาดวันละ 1,200 ซีซี หรือ 8-10 แก้ว หากดื่มน้ำน้อยกว่านี้ อาจเกิดภาวะสูญเสียน้ำถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้น ร่างกายต้องได้รับน้ำอย่างเหมาะสม โดยน้ำต้มสุกมีความสะอาดที่สุด ส่วนน้ำดื่มบรรจุขวดควรเลือกที่มีตรา อย.

ด้าน รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล

สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ร่างกายได้รับน้ำปริมาณมากในเวลารวดเร็วทำให้เกิดภาวะน้ำเกินหรือน้ำเป็นพิษ เนื่องจากทำให้น้ำในเซลล์และนอกเซลล์ขาดความสมดุลกัน ส่งผลให้น้ำในเลือดสูง ความเข้มข้นของเลือดลดลง

ทำให้ร่างกายต้องปรับระบบให้สมดุล

โดยขับแร่ธาตุโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับความสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ อาการเตือนเมื่อเกิดภาวะแร่ธาตุโปแตสเซียมไม่สมดุลคือ เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง อ่อนหมดแรง ถ้าเกิดการเกร็งในสมอง ปอด หัวใจ ทำให้ระบบทางเดินหายใจ

รศ.ดร.ประไพศรี กล่าว

“ปริมาณน้ำมาก ๆ ที่ร่างกายรับเข้าไปจนเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ บอกชัดเจนไม่ได้ ถ้าคนดื่มน้ำเองสมองจะบอกว่า อิ่มแล้ว เริ่มจุก แต่การบังคับให้ดื่มน้ำ ถ้าเริ่มอ่อนเพลีย เกร็ง ถ้าหยุดรับน้ำเพิ่ม ร่างกายจะขับน้ำออก การดื่มมาก ๆ แต่ช้า ๆ ไม่เป็นอันตราย ไตขับน้ำออกทางปัสสาวะได้

ถ้าโหมใส่เข้าไปมาก ๆ เกินร้อยละ 10

ของปริมาณที่ร่างกายได้รับปกติมีโอกาสเกิดได้ แต่ว่าพบได้น้อยมากที่ดื่มน้ำมาก ๆ เร็ว ๆ แล้วเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ” รศ.ดร.ประไพศรี กล่าวและว่า ภาวะน้ำเป็นพิษ มีอาการเตือนคือ กล้ามเนื้อเกร็ง ตะคริว ส่วนภาวะแห้งน้ำหรือร่างกายขาดน้ำนั้น เป็นภาวะที่โปแตสเซี่ยมออกจากเซลล์พบได้บ่อยในผู้สูงอายุที่ไม่ค่อยดื่มน้ำ

ลิ้นบอกสุขภาพ

ลองเอากระจกขึ้นมาแล้วแลบลิ้นออกมาดู คุณจะสามารถรู้เกี่ยวกับสุขภาพของคุณได้มากมาย โดยดูสีของลิ้น และความหมายของมัน

ลิ้นสีน้ำตาลอ่อน

คราบสีน้ำตาลอ่อนที่เกาะอยู่ที่ลิ้น ปกติจะมาจากคราบอาหารหลังจากรับประทาน จะมีคราบติดอยู่บนลิ้น ดังนั้นควรแปรงลิ้นหลังรับประทานอาหาร และควรดื่มน้ำเยอะ เพราะน้ำช่วยให้มีน้ำลาย ซึ่งจะช่วยรักษาความสะอาดในปากได้

ลิ้นเป็นสีชมพูอ่อน/ขาว

ลิ้นบางคนจะมีสีขาวซีด คราบสีขาวบนลิ้นจะมีปัญหาเมื่อมันลอกและมีเลือดออก ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นแสดงว่าคุณติดเชื้อรา ต้องไปให้แพทย์รักษา

ลิ้นมีสีชมพูอ่อนแก่สลับกัน

เป็นจุดเล็กๆ ที่มีลักษณะเหมือนสิว บ่อยครั้งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งจะหายเองภายใน 1 สัปดาห์ แต่ถ้าจุดนั้นขยายใหญ่ แปลแตกออกมาและไม่หายนานกว่า 2 อาทิตย์ คุณต้องไปหาหมอ เพราะมันอาจเป็นสัญญาณบอกว่าคุณอาจเป็นมะเร็งที่ลิ้นได้

ลิ้นสีดำหรือน้ำตาลเข้ม

เป็นอาการที่พบได้น้อยมาก จะมีลักษณะมีคราบขุยสีดำจับอยู่ ซึ่งเชื่อว่าเป้นคราบสกปรกที่ไม่ยอมหลุดออกไป คุณควรจะแปรงลิ้นเป็นประจำ ถ้าจำเป็นก็ควรใช้ช้อนหรือที่ขูดลิ้น ขูดเอาคราบออกบ้าง และควรลดชา กาแฟ และบุหรี่ เพราะทั้ง 3 อย่างนี้ทำให้ลิ้นเป็นคราบมากยิ่งขึ้น

วันนี้คุณดื่ม 'น้ำเปล่า' แล้วหรือยัง?

นักโภชนาการส่วนใหญ่ต่างลงความเห็นว่า ปัจจุบันคนเมืองกว่า 80% อยู่ในภาวะขาดน้ำ (Dehydrated) เรามักดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม เมื่อยามกระหายน้ำ

โดยหารู้ไม่ว่าสารกาเฟอีนในเครื่องดื่มเหล่านี้กระตุ้นให้ร่างกายขับน้ำ และยิ่งทำให้เรากระหายน้ำยิ่งขึ้นไปอีก จำไว้ว่าในยามที่รู้สึกกระหายน้ำเครื่องดื่มที่ดีที่สุดที่เราควรบริโภค คือ “น้ำเปล่า” เท่านั้น

น้ำมีความสำคัญต่อกระบวนการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการดูดซึมวิตามินและสารอาหาร ระบบกำจัดสารพิษของตับและไต ระบบย่อยอาหาร หากร่างกายขาดน้ำไม่ว่าเราจะรับประทานอาหารกลุ่มไฟเบอร์มากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ เพราะลำพังเส้นใยไฟเบอร์ก็ไม่สามารถนำพาของเสียออกจากร่างกายได้ดีหากปราศจากน้ำเป็นตัวหล่อลื่น

นอกจากนี้ ภาวะเลือดข้นที่เกิดขึ้นในยามที่ร่างกายขาดน้ำ จะยิ่งทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อขับเคลื่อนให้เลือดไหลเวียนได้ตามปกติ และผลที่จะตามมาก็คือ สมองจะช้าลง ไม่ตื่นตัว ไม่มีสมาธิ เหนื่อยเมื่อยล้าหมดแรง

คุณรู้หรือไม่ว่า?

*คุณสามารถอยู่ได้โดยปราศจากอาหารถึง 40 วัน แต่หากขาดน้ำเพียงแค่ 3 วัน ยมบาลถามหาแน่

*ร่างกายสามารถสูญเสียน้ำตาล แป้ง โปรตีน ได้ถึง 50% ได้สบายๆ แต่หากสูญเสียน้ำเพียงแค่ 20% คุณจะแห้งตายเพราะขาดน้ำ

*เหตุผลที่เราจำเป็นต้องดื่มน้ำให้ได้ถึงวันละ 68 แก้ว หรือมากกว่านั้น เพราะว่าในแต่ละวันร่างกายต้องการใช้น้ำสำหรับกระบวนการทำงานของปอด 2 แก้ว สำหรับลำไส้และไต 6 แก้ว สำหรับผิวหนัง 2 แก้ว รวมแล้วประมาณ 10 แก้ว ซึ่งยังไม่รวมถึงการเสียเหงื่อจากการออกกำลังกายด้วยซ้ำ แต่ร่างกายสามารถรับน้ำจากอาหารเพียงแค่ 3 แก้วครึ่ง จากกระบวนการเผาผลาญประมาณครึ่งแก้ว ดังนั้นคุณยังขาดน้ำอีก 68 แก้ว ทั้งนี้เพียงเพื่อให้ระบบต่างๆ ยังสามารถทำงานไปได้ตามปกติ

*เครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยสารอาหารอย่างเช่น นม น้ำมะเขือเทศเข้มข้น จัดอยู่ในกลุ่มอาหารมากกว่าเครื่องดื่ม เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้กระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการอยากน้ำยิ่งขึ้น

*ปริมาณน้ำที่ลดจากร่างกายประมาณ 45% มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลงถึง 2030%

เคล็ด ‘ไม่’ ลับ

ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากที่ต้องพยายามดื่มน้ำให้ครบตามจำนวนแก้ว แต่คุณเองก็ต้องไม่ลืมนึกถึงผลที่จะตามมาหากร่างกายขาดน้ำแค่เพียงน้อยนิด ลองทำตามเคล็ดลับง่ายๆ ที่เรานำมาแบ่งปันเผื่อจะเป็นตัวช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

1.ทุกๆ เช้าเมื่อตื่นลืมตาคุณมักจะกระหายน้ำ สิ่งแรกที่ควรทำคือให้คุณคว้าแก้วแล้วเติมน้ำเปล่าดื่มเฮือกเดียวให้หมดสัก 1 แก้ว เพราะน้ำเปล่าแก้วนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกายแล้วยังจะช่วยขับเอาของเสียและสารพิษที่ร่างกายทำงานกลั่นกรองมาทั้งคืนให้ออกจากร่างกายอีกด้วย ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

2.หากรู้สึกหนาวให้พยายามดื่มน้ำอุ่นก่อนที่จะนึกถึงชากาแฟ

3.กรุณาอย่าดื่มเมื่อรู้สึกกระหายให้ดื่มเมื่อนึกขึ้นได้ เพราะหากรอจนถึงกระหายนั่นแปลว่าร่างกายคุณขาดน้ำแล้ว

4.ลองกำหนดตัวเองโดยการตั้งเวลาให้ดื่มน้ำทุกๆ ชั่วโมง และต้องไม่ลืมที่จะหาขวดน้ำวางไว้ใกล้ตัวด้วย

5.เมื่อไรก็ตามที่คุณดื่มชากาแฟ จงจำไว้เสมอว่าคุณจะต้องดื่มน้ำเปล่าเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นการชดเชยน้ำในร่างกายที่คุณกำลังจะสูญเสียจากการดื่มเครื่องดื่มกาเฟอีน

6.และสุดท้าย ขอให้คุณย้อนกลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นจนเข้าใจว่า น้ำเปล่ามีความสำคัญกับชีวิตและร่างกายของคุณมากแค่ไหน และให้คำนวณต่อว่าวันนี้คุณต้องดื่มน้ำอีกกี่แก้วถึงจะครบตามจำนวน และจากนั้นคงไม่ต้องบอกนะคะว่าคุณควรทำอย่างไรต่อ

ร่างกายของเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบในปริมาณถึง 2 ใน 3

เลือดประกอบด้วยน้ำ 83%
กล้ามเนื้อประกอบด้วยน้ำ 75%
สมองประกอบด้วยน้ำ 74%
กระดูกประกอบด้วยน้ำ 22%

สิ่งที่ไม่ควรทานขณะท้องว่าง

อาหารบางชนิดไม่ควรทานขณะท้องว่างเพราะอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ วันนี้เรามีอาหารที่ไม่ควรทานขณะท้องว่างมาบอก...

- กล้วย

เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง

- ผัก

การทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ

- นมและนมถั่วเหลือง

แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย ดังนั้นในขณะที่ท้องว่างจึงไม่ควรทาน

- เหล้า

หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

- น้ำตาลหรืออาหารหวาน

ไม่ควรทานอาหารหวาน หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

- ชา

ที่แก่เกินไปชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

- ลูกพลับ

ไม่ควรทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารรู้อย่างนี้แล้ว เลือกทานอาหารให้ถูกที่ถูกเวลาจะดีกว่า

เคล็ดลับการรับประทานอาหาร เพิ่มอกอึ๋ม

เรื่องนี้ได้มาจากการบรรยายของ เภสัชกรหญิงนันทวดี พิทยาพิบูลย์พงษ์ ผู้จัดการพัฒนาธุรกิจความงามและสุขภาพ บริษัท Venus aesthetic ศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาหน้าอก และให้บริการเกี่ยวกับการเพิ่มขนาดหน้าอก ซึ่งทำให้ทราบว่า การที่หน้าอกหย่อนไม่ได้รูปนั้น เกิดจากอิลาสตินคอลลาเจน (เนื้อเยื่อตรงฐานอกซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้หน้าอกมีความยืดหยุ่นและคงตัว) ไม่แข็งแรง และสาเหตุที่ไม่แข็งแรงนั้น ก็เพราะการรับประทานอาหารแบบทุโภชนาการ รวมถึงการอดอาหารลดน้ำหนักที่ไม่ถูกต้อง

ส่วนประกอบของร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าคือโปรตีนและไขมัน แต่อาหารที่ผู้หญิงนิยมรับประทานกันคือ ผักและผลไม้ ซึ่งเป็นส่วนของพลังงานทั้งสิ้น แต่ในความจริงแล้วร่างกายของเราต้องมีการสร้างซ่อมตลอดเวลา และวัตถุดิบในการสร้างซ่อมก็มาจากอาหารที่เราบริโภคเข้าไปสู่ร่างกาย ดังนั้น หากเราไม่รับประทานอาหารที่ร่างกายสามารถนำไปสร้างซ่อมได้ ร่างกายก็จะย่อยเนื้อเยื่อออกมาก่อนแล้วนำกลับไปใหม่ ทำให้ไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่ต้องซ่อมแซมได้ รวมทั้งการย่อยแบบนี้จะทำให้เนื้อเยื่อต่างๆหลวม รวมไปถึงเนื้อเยื่อตรงฐานหน้าอกด้วย และนี่คือคำตอบว่าทำไมหน้าอกของเราจึงหย่อนและไม่กระชับ สาเหตุก็เพราะเรารับประทานอาหารไม่ถูกสัดส่วนนี่เอง

คำแนะนำคือ หากต้องการให้หน้าอกของเรากระชับและตั้งขึ้น จะต้องเปลี่ยนวิธีการบริโภคอาหารเสียใหม่ คือรับประทานให้ครบถ้วน โดยเน้นโปรตีนให้เพียงพอ เพราะการรับประทานโปรตีนอย่างเพียงพอ จะทำให้ร่างกายมีวัตถุดิบในการสร้างซ่อมตัวเอง

สำหรับคนที่กลัวว่ารับประทานอาหารครบถ้วนแล้วจะอ้วน ก็ขออธิบายต่อว่า หมวดที่ทำให้อ้วนนั้นได้แก่ แป้งและน้ำตาล ทั้งสองอย่างนี้ใช้เวลาในการย่อยไม่เกิน 40 นาที เมื่อย่อยเสร็จแล้ว แป้งและน้ำตาล จะอยู่ในรูปกลูโคส ซึ่งเป็นพลังงานหลัก แต่ร่างกายก็ยังไม่สามารถนำไปใช้ได้ ต้องมีตัวพานั่นก็คืออินซูลิน เพราะอินซูลินจะพากลูโคสเข้าสู่เซลล์ของกล้ามเนื้อและเปลี่ยนกลูโคสให้เป็นพลังงาน ถ้าใช้ไม่หมดอินซูลินจะนำกลูโคสที่เหลือไปเปลี่ยนเป็นพลังงานไขมันต่ำ สะสมไว้ในชั้นของไขมัน เพราะฉะนั้นการรับประทานอาหารที่มีแป้ง ของหวาน ขนม จะเป็นการรับประทานที่สะสมไขมันอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยนำส่วนที่สะสมนี้ไปใช้ได้เลย โรคอ้วนจึงเกิดขึ้นกับเรา

วิธีที่จะนำไขมันสะสมออกมาใช้นั้น จะต้องมีโปรตีนเข้าไปช่วย เพราะหากโปรตีนไปปนอยู่กับแป้งและน้ำตาลจะทำให้การย่อยช้าลง เกิดการทยอยเข้าสู่กระแสเลือด อินซูลินจะถูกเรียกมาใช้อย่างช้าๆ ใช้แล้วก็หมดไป โอกาสที่จะนำกลูโคสไปสะสมในชั้นไขมันจะลดลง อีกทั้งโปรตีนจะเรียกฮอร์โมนที่ชื่อกลูคากอนออกมา กลูคากอนจะสามารถนำไขมันเก่ามาใช้เป็นพลังงานได้ด้วย แต่โปรตีนควรรับประทานคู่กับผักด้วย เพราะผักจะช่วยซับเอาไขมันส่วนเกินออกไป อีกทั้งไขมันก็เป็นสิ่งที่เราไม่ได้ต้องการ มากเกินไปด้วยวิธีรับประทานโปรตีนที่ถูกต้องนั้น ให้ใช้ฝ่ามือของตัวเองชี้วัด กล่าวคือ ในตอนเช้า ควรรับประทานโปรตีน ประมาณ ครึ่งฝ่ามือหรือ ไข่ 1 ลูก ตอนกลางวัน รับประทานโปรตีน 3/4 ของฝ่ามือ และในตอนเย็น รับประทานโปรตีนให้เท่ากับ 1 ฝ่ามือ เหตุที่ต้องรับประทานโปรตีนให้มากในช่วงเย็นนั้น เพราะ 70% ของร่างกายจะถูกซ่อมแซมขณะที่เรานอนหลับ ส่วนคนที่นอนน้อย อย่างเช่น นอนตอนตี 1 แต่รับประทานมื้อเย็นไปเมื่อเวลา 18.00 น. นั้น ปกติร่างกายของเราควรมีการเติมอาหารทุกๆ 4 ชั่วโมง ดังนั้น หากเกิดกรณีนี้ในช่วง สี่ทุ่ม ร่างกายของเราจะย่อยอาหารเรียบร้อยแล้ว ช่วงเวลานี้จึงควรทานอะไรเพิ่มเติมเข้าไปและขอแนะนำว่าให้เป็นเรื่องของโปรตีนเท่านั้น เช่น นมหรือน้ำเต้าหู้ เพราะจะได้นำไปเก็บเป็นวัตถุดิบในการสร้างซ่อมได้

การรับประทานให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง หน้าอกกระชับได้รูปมากขึ้นแล้ว หากต้องการทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นโดยการใช้ทรีตเม้นต์และนวัตกรรมจากสถาบันที่เชื่อถือได้ คุณก็จะประสบผลสำเร็จได้ไม่ยาก แต่ถ้าคิดว่าเพียงแค่ต้องการให้หน้าอกคงความกระชับได้รูป การรับประทานอาหารและออกกำลังกาย บริหารหน้าอก ใส่ชุดชั้นในอย่างถูกต้องก็คงจะเพียงพอแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะพอใจแค่ไหน แต่ถึงอย่างไร หากคุณเลือกในสิ่งที่มีคุณค่าให้กับตัวของคุณได้เองตั้งแต่วันนี้ คุณก็จะสวย สดใส มีชัยไปกว่าครึ่ง

สุขภาพใจ ทำนายสุขภาพกาย

สุขภาพใจ ทำนายสุขภาพกาย

พอขึ้นปีใหม่ ใครหลายคนมักจะชอบสืบเสาะหาหมอดีมาทำนายดวง นัยว่าถ้าดี ร้าย จะได้แก้เคล็ดกันทัน ขอเอาใจสาวๆ ทำนายดวงสุขภาพให้นักอ่าน ด้วยการตั้งตัวเป็นแม่หมอเฉพาะกิจ รับรองผลความแม่ยำ 99.99% เชียวล่ะ เพราะทั้งหมดนั้นคือข้อเท็จจริงจากผลงานวิจัยมากมายที่รายงานถึงความเกี่ยวโยงระหว่างลักษณะนิสัยต่างๆ กับแนวโน้มการเกิดโรค ปี 2009 นี้ คุณจะอายุยืน หรือเป็นโรคอะไรในปีนี้ เช็กด่วนจากนิสัยเสียส่วนตัว

นิสัยขี้ใจร้อน

อันตรายของคนที่มีนิสัยแบบนี้คือโรคแผลในกระเพาะอาหาร นักวิจัยจากอินสติติวท์ ออฟ ออกคิวเปชันนัล เฮลท์ของฟินแลนด์ ศึกษากลุ่มตัวอย่างกว่า 4,000 คน และพบว่า

+คนที่หุนหันพลันแล่นมีความเสี่ยงเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร สูงกว่าคนอื่นๆ 2.4 เท่า ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเกิดจากการที่ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดด้วยการผลิตกรดออกมามากกว่าปกติ และเป็นสาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหาร

+ มีปัญหาในการควบคุมการกินอาหาร นอกจากนั้นยังพบว่า นิสัยขี้โมโหเกี่ยวพันอาจทำให้มีพฤติกรรมการกินมาก หรือน้อยเกินปกติ จนทำให้ร่างกายขาดความสมดุลในการรับสารอาหาร เป็นสาเหตุของโรคอื่นๆ ตามมา

ขี้กังวล

+มีแนวโน้มเป็นความดันโลหิตสูงกว่าคนปกติสามเท่าการศึกษาของมหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นแอริโซนา ชี้ว่า สาเหตุอาจมาจากฮอร์โมนความเครียด

+ มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ขณะเดียวกัน ผู้หญิงที่ขี้กลัว เช่น กลัวความสูง จะส่งผลให้ร่างกายมีความดันโลหิตและการสะสมคลอเรสเตอรอลสูง ทำให้เสี่ยงต่อระบบหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจผิดปกติ

+ อาจตายในสิบปี ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาของมหาวิทยาลัยแอนต์เวิร์ป เบลเยียม ยังพบว่า 27% ของคนขี้กังวล ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตภายในช่วงเวลา 10 ปี ของการรับการบำบัดโรคหัวใจ ซึ่งสูงกว่าความเสี่ยงในเกณฑ์มาตรฐาน 7% ของคนทั่วไป

นิสัยก้าวร้าว

+ ระวังความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ คนที่ก้าวร้าวมักตอบสนองต่อความเครียดทั้งทางร่างกายจิตใจอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น ส่งผลเสียต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด งานวิจัยชิ้นหนึ่งจากสก็อตแลนด์ที่ระบุว่า อาการหลอดเลือดแข็งมักพบกับคนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว

+ ร่างกายฟื้นตัวช้า ความไม่เป็นมิตรยังสร้างแนวโน้มปัญหาสุขภาพรุนแรงหลายโรค ข้อเท็จจริงนี้สอดคล้องกับงานศึกษาอีกชิ้นจากสหรัฐอเมริกา ที่แสดงให้เห็นว่าคนที่มีนิสัยก้าวร้าวเสี่ยงต่ออาการอักเสบเรื้อรังทั่วร่างกาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคมากมาย เช่น โรคหัวใจ สาเหตุอาจเนื่องมาจากการมีโปรตีนในระบบภูมิคุ้มกันที่เชื่อมโยงกับการอักเสบมีสูงกว่าคนปกติ ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอยังเพิ่มเติมว่า คนที่ชอบกราดเกรี้ยวใช้เวลาเยียวยาบาดแผลนานกว่าปกิอีกด้วย

+ มีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้า งานวิจัยอีกชิ้นจากอเมริกาชี้ว่า คนก้าวร้าวมีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการซึมเศร้ารุนแรงจิตตก และมีโอกาสทำร้ายร่างกายตัวเอง หรือฆ่าตัวตายสูง

ขี้อาย

+ ติดเชื้อไวรัสง่าย งานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียระบุว่า คนขี้อายมีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัส โดยในการศึกษาจากสัตว์พบว่า สัตว์ที่ชอบอยู่รวมกับฝูงมีต่อมน้ำเหลืองที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าสัตว์ที่ขี้อาย ต่อมน้ำเหลืองเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีหน้าที่ช่วยทำลายเชื้อโรคที่สามารถแพร่เชื้อ เช่น เชื้อไวรัส ดังนั้นสุตว์ หรือบุคลที่ระบบไม่ทำงานเต็มประสิทธิภาพจึงขาดภูมิคุ้มกัน ทำให้ติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย

เงียบขรึม

+ เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจ คนที่มีอาการซึมเศร้านอกจากจะประสบปัญหาทางอารมณ์แล้ว ยังถูกปิดกั้นทางความรู้สึกโดยไม่รู้ตัว ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นในการเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยังระบุว่า หากคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ จะมีอัตราเสียชีวิตสูงขึ้น สาเหตุสืบเนื่องมาจากปัญหาในการควบคุมฮอร์โมนความเครียดไม่สมดุล ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูง และเส้นเลือดอุดตัน ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ดีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่มีลักษณะนิสัยแบบนี้ยังมีระบบภูมิคุ้มกันที่ต้องทำงานหนัก จึงมีการอักเสบมากขึ้น และเป็นอันตรายต่อเส้นเลือด

ประสาท

+ ระวังโรคหอบหืด ปวดศรีษะ แผลในกระเพาะอาหาร และโรคหัวใจ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแจงว่า คนที่มีนิสัยแบบนี้ชอบโทษตัวเอง และเป็นปฏิปักษ์มากกว่าพยายามขอความช่วยเหลือและกำลังใจจากคนอื่น จึงมีแนวโน้มเครียดสูง ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันด้อยประสิทธิภาพ และอ่อนแอต่อโรค หรืออาจเป็นเพราะคนที่มีอาการทางประสาทมักซึมเศร้า ซึ่งมีผลทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

มองโลกแง่ร้าย

+ อาจอายุสั้น และเป็นโรคพาร์คินสัน คนแบบนี้มีความเสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับคนที่มองโลกแง่ดี ดร.เจมส์ โบเวอร์ จากมาโย คลินิกในอเมริกา พบว่าคนที่มองโลกแง่ร้ายและมีความกังวลสูง มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเป็นโรคพาร์คินสันในวัยชรา

7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย

แม้น้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไป

1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล

2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง

3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น

4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน

5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป

6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ "เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"

7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่

ข้อแนะนำบางอย่างเพื่อให้เกิดสุขภาพที่ดีมีจิตใจสงบ

เคี้ยวอาหารให้ละเอียด กลุ่มแมกโครไบโอติกส์ให้เคี้ยวถึง 50 ครั้งต่อคำ เพื่อให้ย่อยง่าย ไม่เป็นภาระแก่กระเพาะและทำให้เห็นคุณค่าของอาหารแต่ละคำ

เข้านอนไม่เกินสี่ทุ่ม และตื่นแต่เช้าตีสี่หรือตีห้า

ตื่นขึ้นแล้วทำจิตใจให้บริสุทธิ์ จะสวดมนต์ไหว้พระหรือนั่งสมาธิแล้วแต่ความชอบ จากนั้นออกกำลังกายแถมด้วยการเดินเท้าเปล่าบนหญ้าหรือบนดิน ให้ถูกแสงแดดอ่อนๆ ถ้าทำสวนพรวนดินก็ไม่ควรใส่รองเท้า หรือมิฉะนั้นก็ทำงานในบ้าน ทำความสะอาดบ้าน ทำความสะอาดทั้งกายทั้งใจ ทั้งบ้านพร้อมกันไปด้วย

สวมเสื้อผ้าที่ทำจากพืช เช่นผ้าฝ้าย อย่าใช้ผ้าจากใยสังเคราะห์ อย่าตกแต่งเครื่องประดับร่างกายจนเกินความจำเป็น จนกลายเป็นตู้เพชรตู้ทองเคลื่อนที่ ไม่ใส่อะไรเลยดีที่สุด

ไม่ควรใช้เครื่องสำอางค์ หรือน้ำหอมซึ่งผลิตจากเคมี แม้แต่ยาสีฟันก็ใช้ยาสีฟันแบบเก่าๆที่ทำจากเกลือ จากสารส้มดีกว่า

อย่าดูทีวีหรือเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์มากจนเกินไป

ไม่ควรใช้เครื่องหุงต้มหรือเตาไฟฟ้าหรือไมโครเวฟ ให้ใช้เตาถ่านเตาแก๊สดีกว่า

ปลูกต้นไม้มากๆ ถ้าไม่มีที่ทำสวนก็ใช้ปลูกต้นไม้ ดอกไม้กระถาง ( ไม่ใช้พลาสติกเด็ดขาด ) ในบ้านหัดฟังเสียงนกร้องเกี้ยวกันเสียบ้าง หาโอกาสเข้าป่าปีละหลายๆครั้ง ถ้าได้วันละครั้งยิ่งดี ( ก็หมายความว่าให้ไปอยู่ป่านั่นแหละ )

อย่าอาบน้ำร้อน ให้อาบน้ำเย็น ถ้าจะใช้ความร้อนให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนถูตัวให้ทั่วทั้งเช้าทั้งเย็น

มองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรักและขอบพระคุณ ให้สำนึกว่าเราเป็นหนี้บุญคุณต่อทุกคน และทุกสิ่งทุกอย่างในโลก

ให้ขอบคุณอาหารทั้งก่อนกินอาหารและหลังกินอาหาร

คุณมีโลกใกล้ตัวและโลกไกลตัว ก่อนจะเป็นเจ้าของโลก รักษาโลกใกล้ตัวไว้ให้ดีเสียก่อน โลกใกล้ตัวคือ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ พี่น้อง ลูกหลาน เพื่อนฝูง รักษาน้ำใจติดต่อใกล้ชิดอย่าให้ขาด

ร้องเพลงเพราะๆทุกวัน ไม่รู้จะร้องเพลงอะไร ร้อง Happy birthday ให้ตัวเองทุกวันก็ยังได้

ชีวิตกับโภชนาการ

โดย ดร.สาทิส อินทรกำแหง

แนะนำอาหารตามแนวแมคโครไบโอติกส์และชีวจิต

1.อาหารประเภทแป้งซึ่งไม่ได้ขัดขาว หรือที่เรียกว่า Whole Grains เช่นที่เป็นข้าว ก็เป็นข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ถ้าเป็นข้าวโพดก็ข้าวโพดทั้งเมล็ดหรือทั้งฝัก ถ้าเป็นแป้งขนมปังก็เป็นขนมปังโฮลวีท เหล่านี้เป็นต้น " ปริมาณอาหารประเภทนี้ ประมาณ 50 % ของแต่ละมื้อ "

2.ผัก ใช้ทั้งผักดิบ ผักสุก อย่างละครึ่ง ทำเป็นสลัดผักสดก็ได้ ทำเป็นผักสุกจิ้มน้ำพรกบ้าง หรือผัดโดยใช้น้ำมันพืชแต่น้อย ผักถ้าปลูกเองไม่ใช้สารเคมีต่างๆ จะดีที่สุด แต่ถ้าต้องซื้อจากตลาดก็ต้องเลือกผักที่ปลอดสาร แช่น้ำนานๆ และแช่ด่งทับทิมด้วย " ปริมาณของผัก ประมาณ 25 % ของแต่ละมื้อ "

3.ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ และผลิตผลจากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร หรือผลผลิตซึ่งดัดแปลงจากถั่วในรูปต่างๆ " ปริมาณของถั่วหรือโปรตีนจากพืช ประมาณ 15 % ของแต่ละมื้อ " นอกจากนี้จะใช้โปรตีนจากสัตว์เป็นครั้งคราว คือปลาและอาหารทะเลได้ ประมาณอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง

4.เบ็ดเตล็ด คือ แกงหรือซุป ถ้าจะเป็นแกงแบบไทย ก็ใช้แกงจืดหรือแกงเลียง หรือจะทำเป็นซุปก็ใช้มิโซ่หรือเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นผสมในน้ำแกง " สำหรับมิโซ่นี้ จะใช้ปรุงรสอาหารอย่างอื่นด้วยก็ได้"

สิ่งซึ่งใช้เป็นเนื้อหาของการปรุงซึ่งใช้เป็นประจำก็คือ สาหร่ายทะเล จะผสมอาหารต่างๆเป็นเครื่องปรุงก็ได้ ใส่แกงหรือผัดผักต่างๆก็ได้

เครื่องปรุงอีกอย่างซึ่งใส่อาหารได้ทุกอย่างก็คือ งา ใช้ทั้งงาสดและงาคั่วโรยอาหารต่างๆได้ทุกอย่าง

ถั่วต่างๆและเมล็ดพืชใช้กินเล่น เช่น ถั่วคั่ว เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม

ผลไม้ ควรเป็นผลไม้เขียวและไม่หวาน เช่น ฝรั่ง มะม่วงดิบ

" กลุ่มเบ็ดเตล็ดซึ่งมีแกง ของกินเล่น และผลไม้นี้ รวมปริมาณแล้วประมาณ 10 % ของแต่ละมื้อ "

อาหารที่ควรงด

1.งดอาหารเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อ หมู ไก่

2.งดน้ำตาลขาวทุกชนิด รวมทั้งอาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่ผลิตจากน้ำตาล เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง เค้ก ไอศกรีม น้ำหวานต่างๆ

3.งดอาหารมันที่ใช้ น้ำมัน นม เนย กะทิ

4.งดแป้งขาวทุกชนิด เช่น ข้าวขาว ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ขนมปังขาว

ตัวอย่างอาหารชีวจิต

โดย ดร.สาทิส อินทรกำแหง

วันจันทร์

เช้า น้ำส้มคั้น , ขนมปังโฮลวีทปิ้ง 2 แผ่นทาแยมหรือเนยถั่วหรือน้ำพริกเผา , กล้วยน้ำว้า 1 ลูก มะละกอ 1 ชิ้นยาว , ฝรั่งสุกครึ่งลูก

กลางวัน เย็นตาโฟประยุกต์ ผักบุ้งมากๆ เต้าหู้มากๆ , ผลไม้ , ถั่วกินเล่น

เย็น ข้าวซ้อมมือ , ผักน้ำพริกปลาเผา , ผัดถั่วงอกเต้าหู้ เห็ด , ยำเต้าหู้ใส่มันฝรั่ง ใส่ผักต่างๆ ใส่น้ำพริกเผา , แกงเลียง

วันอังคาร

เช้า น้ำแตงโม , ข้าวต้มซ้อมมือใส่เห็ดเป๋าฮื้อ , ผลไม้ - แอปเปิ้ลเขียว , มะละกอ 1 ชิ้น

กลางวัน แซนด์วิชเต้าหู้ , กล้วยน้ำว้า , ถั่วกินเล่น

เย็น ผักน้ำพริก , หน่อไม้ฝรั่งผัดซีอิ๊ว , แกงจืดเต้าหู้ขาว เห็ดหูหนู , ข้าวซ้อมมือ

วันพุธ

เช้า ข้าวต้มซ้อมมือ , ยำไชโป๊ว , เต้าหู้ยี้ , ปลาสลิด , น้ำส้มคั้นผสมมะนาว

กลางวัน สลัดมันฝรั่ง , ผักสดชิ้นยาว , กล้วยตาก , มะละกอ , สับปะรด

เย็น เมี่ยงปลาทูผักสด , ผัดเผ็ดเต้าหู้ , ผัดมะเขือยาวใส่เต้าเจี้ยว ใบแมงลัก

วันพฤหัสบดี

เช้า ขนมปังโฮลวีทปิ้ง 2 แผ่น , แยมผลไม้ , น้ำส้มคั้น

กลางวัน ข้าวผัดหนำเลี้ยบ , ผักสดจิ้มสลัด , ผลไม้

เย็น ถั่วแดงทรงเครื่อง , สลัดผัก , ซุปหัวหอม , ขนมปังปิ้ง , ผลไม้

วันศุกร์

เช้า ข้าวต้มซ้อมมือ , เต้าหู้ยี้ , ผักดองซีเซ็กฉ่าย , ผลไม้ , น้ำแครอท

กลางวัน ก๋วยเตี๋ยวเส้นฟักทองราดหน้า , ผลไม้

เย็น ยำถั่วหัวกลม , เต้าหู้ทอดราดหน้าเห็ด , ผัดผักรวมมิตร , ข้าวซ้อมมือ

วันเสาร์

เช้า ข้าวต้มซ้อมมือ , ยำกุ้งแห้ง , เต้าหู้ยี้ ,ผักดอง , นมถั่วเหลืองใส่วีทเยิรม์อบน้ำผึ้ง , ผลไม้

กลางวัน ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย , ผลไม้ , ถั่วกินเล่น , น้ำแตงโม

เย็น สลัดปลาทูน่า น้ำมันมะกอก น้ำพริกเผา , ปลากะพงทอด ( ไม่ใส่น้ำมัน ) ยอดมะกรูด ตะไคร้ ซ๊อสขาว , ถั่วทรงเครื่องหน้าเห็ด หรือสตู ผักประดับ ( แครอท ไชเท้า ดอกกะหล่ำ สด - นึ่ง ) , มะนาวผสมน้ำผึ้ง โซดา สะระแหน่ , ผลไม้ - แคนตาลู้ป , สตรอเบอรรี่ , เงาะ 3 ลูก

วันอาทิตย์

เช้า กล้วยน้ำว้า , ข้าวต้มเห็ดหอม , น้ำส้ม - น้ำมะนาว

กลางวัน ขนมจีนน้ำยาเห็ด เส้นโฮล ผักสดต่างๆ

เย็น ซุปเต้าหู้อ่อน , แกงเลียง , ยำมะเขือยาว กุ้งแห้ง มะม่วงดิบ กระเทียมดอง , บร็อคเคอรี่ผัดเต้าหู้ เห็ดเป๋าฮื้อ น้ำพริกป่า , ผักดิบ - ต้ม , ข้าวซ้อมมือ

น้ำชาสุขภาพ 2

ใช้แทนกาแฟหรือชา โดยใช้สมุนไพร รากไม้ ดอกไม้ เมล็ดจากไม้ชนิดต่างๆ ใช้เป็นยาและเครื่องดื่ม ช่วยให้แข็งแรง สดชื่นได้เป็นอย่างดี

เถาวัลย์เปรียง หั่นเป็นแว่นๆ นำมาคั่วให้หอม ชงน้ำดื่ม ดื่มได้อร่อยด้วย เป็นยาด้วย ปัสสาวะคล่อง และแก้ขัดเบา

เตยหอม หั่นแล้วนำมาคั่ว ชงน้ำดื่ม บำรุงหัวใจ ขับปัสสาวะ

ใบสัก หั่นแล้วนำมาคั่ว ผสมกับเตยหอม แก้เบาหวาน

เก๊กฮวยตากแห้ง ชงน้ำร้อน ผสมกับมะลิแห้ง ก็จะช่วยให้หอมและมีรสอร่อยขึ้น บำรุงประสาท หัวใจ

รากบัว หั่นเป็นแว่น ต้มกับน้ำจนเดือด ดื่มเป็นเครื่องดื่ม ช่วยระบบหายใจ แก้ไซนัส

เม็ดชุมเห็ด นำไปคั่ว ชงน้ำดื่ม ขับปัสสาวะและแก้โรคท้องผูก แก้ตับอักเสบ

มะตูม ใช้มะตูมดิบ หั่นเป็นแว่น ตากแดด แล้วอบหรือหั่นเป็นชิ้นคั่วให้หอม ชงน้ำดื่ม เจริญอาหาร แก้จุกเสียดแน่นท้อง กรดในกระเพาะมาก

ขิง ใช้ขิงแก่ ต้มน้ำจนเดือด ดื่มแก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว ในกระเพาะมีกรดมาก

ตะไคร้ หั่นเป็นแว่น ชงน้ำดื่มขับปัสสาวะ ขับลม แก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ

หญ้าคา ใช้ทั้งต้นและราก ต้มน้ำดื่ม ผสมกับตะไคร้ ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบาได้ด้วย

สะระแหน่ ใช้ผสมกับน้ำผลไม้ โดยเด็ดเป็นใบๆ โรยหน้าน้ำผลไม้ ทำให้น้ำผลไม้รสดีและหอมขึ้น ช่วยขับลม แก้ท้องขึ้นท้องเฟ้อ ถ้าจะใช้ชงน้ำดื่ม ใช้ใบสะระแหน่ฝรั่งตากแห้ง ชงน้ำดื่ม

ดอกคำฝอย ชงน้ำดื่ม ขับปัสสาวะ และลดไขมันในเส้นเลือด

น้ำมันพืชทุกชนิดกินแล้วลดโคเลสเตอรอลได้จริงไหม ?

คำตอบคือ ไม่จริง ทั้งนี้เพราะน้ำมันพืชแต่ละอย่างมีไขมันชนิดต่างๆ ไม่เหมือนกัน บางชนิดมีน้ำมันดี (unsaturated fats) บางชนิดมีน้ำมันเลว (saturated fats) ต่อหัวใจ น้ำมันเลวเมื่อเข้าไปในร่างกายแล้ว จะไปเปลี่ยนเป็นโคเลสเตอรอลได้มากกว่า

น้ำมันแต่ละชนิดที่มีในท้องตลาดมีไขมันเลว คือ ไขมันอิ่มตัวเป็นเปอร์เซ็นต์ต่างๆ ดังนี้

น้ำมันมะพร้าว92%

เนยเหลว64%

น้ำมันในเนื้อสัตว์52%

น้ำมันปาล์ม51%

น้ำมันหมู41%

น้ำมันไก่1%

น้ำมันถั่วลิสง18%

น้ำมันถั่วเหลือง15%

น้ำมันมะกอก14%

น้ำมันข้าวโพด13%

น้ำมันดอกทานตะวัน9%

น้ำมันดอกคำฝอย9%

น้ำมันแคโนลา6%

จากตัวเลขเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าน้ำมันมะพร้าวเลวที่สุด ใครชอบกินแกงกะทิควรระวัง น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารตามร้านอาหารทั่วไป คือ น้ำมันปาล์ม ก็มีพิษมีภัยใช่ย่อยพึงระวังให้ดี

ลองแก้ปวดหัวด้วยวิธีชีวจิต

เป็นการแก้แพ้ด้วย

1. กินอาหารตามสูตรชีวจิต

2. งดกาแฟ ( สำคัญมาก ) งดบุหรี่ งดแอลกอฮอล์

3. งดหวาน งดน้ำตาลทรายขาว งดน้ำอัดลม งดเค้ก ไอศกรีม ช็อกโกแล็ต

4. งดเนยแข็ง ( บางคนชอบเนยแข็งมาก ต้องพยายามหักห้ามใจให้ได้ )

5. อย่าใช้ผงชูรสในอาหาร

6. บางคนที่ชอบกินวิตามินเป็นประจำ ให้งดวิตามิน A ไว้ก่อน

7. ให้เพิ่มวิตามิน B 6 และไนอาซิน ( ถ้ากินไนอาซิน บางคนอาจจะแพ้ เกิดหน้าร้อนผ่าว เกิดผดผื่นคัน อาบน้ำเย็นเสียจะหาย ถ้าไม่หายให้งดไนอาซินไว้ก่อน )

8. บางคนที่แพ้อาหารบางอย่าง ให้งดอาหารชนิดนั้น

9. ถ้าแพ้อาหารและปวดหัวระเบิดทันทีทันใด ถ้ามีเครื่องออกซิเจน ให้สูดออกซิเจนจะหายปวดได้

กินดี...ต้านโรคได้

การกิน ไม่ใช่กินอย่างไรให้อร่อย แต่เน้นเรื่อง “ กินดี ” เพื่อต้านโรค เพราะเล็งเห็นว่าคนยุคนี้มีโรคภัยมากมายเกาะกุมรุมเร้าอันมีสาเหตุมาจากอาหารการกิน ผู้ใหญ่และวัยรุ่นยุคนี้คุ้นเคยกับอาหารจานด่วนมากกว่าน้ำพริกผักจิ้ม ส่วนเด็กยุคใหม่เรียกได้ว่าโตมาจากนมผงและอาหารจานด่วน แถมดูอ้วนท้วนสมบูรณ์แก้มกลมแสนน่ารัก แต่อนาคตทำนายได้ยากว่าจะรอดพ้นจากภัย โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดตีบ โรคมะเร็งได้แค่ไหน

แล้วอาหารมีผลอย่างไรที่ทำให้เกิดโรคได้ ?

เมื่ออาหารเข้าสู่ร่างกายของเราแล้วจะถูกย่อยเป็นโครงสร้างเล็กๆ เพื่อเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญ หรือเมตาบอลิซึม ที่ทำให้เซลล์เล็กๆ ในร่างกายสามารถนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์และเป็นพลังงาน แต่เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารในสัดส่วนที่ไม่สมดุลเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ทำให้มีแนวโน้มของการได้รับสารอาหารบางประเภทมากเกิน โดยเฉพาะแป้ง น้ำตาล และไขมัน ยกตัวอย่างเช่น แป้ง น้ำตาล ที่มักพบในอาหารจานด่วนและขนมต่างๆ เมื่อได้รับมากเกินไปจะทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด และเมื่อมีปริมาณไม่เพียงพอ จะนำไปสู่การเป็นเบาหวานได้ นอกจากนี้แป้งและน้ำตาลที่เหลือใช้จะเปลี่ยนเป็นไขมันและสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายทำให้เกิดโรคอ้วน ซึ่งเมื่อเกิดการสะสมมากขึ้น ระบบการทำงานของร่างกายจะเริ่มแปรปรวนและทำงานบกพร่องจนนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น ไขมันที่ไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดจะทำให้หลอดเลือดสูญเสียความยืดหยุ่น ปิดกั้นการไหลเวียนของเลือด จนอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดไปเลี้ยง

การป้องกันย่อมดีกว่าแก้ไข “ การกินดี เพื่อต้านโรค ” จึงต้องเริ่มจากการเลือกอาหารในแต่ละวันให้มีสัดส่วนและปริมาณที่เหมาะสม ลดและเลี่ยงอาหารบางชนิด โดยมีหัวใจหลักดังนี้

เลือกกินอาหารที่หลากหลาย

เนื่องจากอาหารแต่ละชนิดจะมีองค์ประกอบของสารอาหารไม่เหมือนกัน โดยจะมีปริมาณที่แตกต่างออกไปตามหมวดหมู่ของอาหาร เช่น ส้มจะเป็นแหล่งของวิตามินซี แต่มีวิตามินบี 12 อยู่น้อย ในขณะที่ชีสจะมีปริมาณของวิตามินบี 12 อยู่มากกว่า การกินอาหารชนิดเดียวกันทุกๆ วันจะทำให้ร่างกายได้สารอาหารที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะผู้ที่กินมังสวิรัติมีแนวโน้มที่จะขาดโปรตีน วิตามินบี แคลเซียม และธาตุเหล็กได้ง่าย จึงอาจจำเป็นต้องรับประทาน วิตามิน หรืออาหารเสริม ในหนึ่งวันจึงควรเลือกอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ ธัญพืช ผัก ผลไม้ นม เนื้อสัตว์ และถั่วตามปริมาณที่เหมาะสมกับแต่ละคน

คุมปริมาณพลังงานและสัดส่วนสารอาหารในแต่ละวัน

คุณควรเลือกกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ให้พลังงานต่ำ การหมั่นสังเกตฉลากแสดงปริมาณสารอาหารที่เป็นองค์ประกอบ ในอาหารนั้นๆ จะทำให้เข้าใจและสามารถกำหนดสัดส่วนการกินใน แต่ละมื้อได้ดีขึ้น โดยเฉลี่ยพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน 50% ควรมาจาก กลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งควรเน้นอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าว และธัญพืชต่างๆ อาหารกลุ่มโปรตีน ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่ และถั่วต่างๆ ควรได้รับประมาณ 15% ส่วนที่เหลือ 35% มาจากไขมันชนิดดี หรือไขมันที่ไม่อิ่มตัว

กินธัญพืช ผัก และผลไม้ เป็นหลัก

อาหารจำพวกธัญพืช ผัก และผลไม้ นอกจากจะเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีคุณค่าแล้ว ยังเป็นกลุ่มของอาหารที่มีไขมันต่ำมาก ทำให้อิ่มนานเพราะมีใยอาหารปริมาณสูง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ใยอาหารซึ่งมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดีจะช่วยในการขับถ่ายและดูดซึมสารพิษในลำไส้ โดยขับออกมาพร้อมกับอุจจาระ จึงช่วยป้องกันการสะสมของสารพิษ และลดอาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร และลดอัตราเสี่ยงของมะเร็งที่ ลำไส้ใหญ่ได้

เลือกกินแต่ไขมันชั้นดี

ไขมันไม่ได้มีโทษไปเสียทุกชนิด ร่างกายยังต้องการไขมันเพื่อใช้เป็นพลังงาน สร้างความอบอุ่น ช่วยในการทำงานของสมอง และเป็นองค์ประกอบของฮอร์โมนต่างๆ รวมทั้งช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค ไขมันที่ดีคือไขมันที่ไม่อิ่มตัว มีมากในน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมัน-ข้าวโพด น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกคำฝอย และปลาทะเล ฯลฯ ส่วนไขมันชนิดเลวคือไขมันอิ่มตัวจะทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในร่างกาย เพิ่มขึ้น อาจสะสมอุดตันในเส้นเลือด น้ำมันชนิดนี้มักพบในกะทิ น้ำมัน-มะพร้าว น้ำมันปาล์ม ไขมันจากสัตว์ และนม แต่ในเมื่อนมเป็นอาหารที่มีประโยชน์สูง คุณอาจเปลี่ยนมาดื่มนมไขมันต่ำแทนก็ได้

ลดน้ำตาลลง

อาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตซึ่งได้แก่แป้งและน้ำตาล เมื่อเข้าสู่ร่างกายและผ่านกระบวนการย่อยจะได้กลูโคส ซึ่งก็คือน้ำตาลชนิดหนึ่ง กลูโคสเป็นสารที่ให้พลังงานกับร่างกาย ในขณะเดียวกันหากมีมาก เกินไปจะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม จึงไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่ต้องการ ควบคุมน้ำหนักตัว นอกจากนี้การมีน้ำตาลอยู่ในร่างกายปริมาณสูงจะ ทำให้การสร้างอินซูลินที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดเสียสมดุลไป เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงขนมหวานหรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน การเลือกกินข้าวกล้องที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะทำให้ร่างกายค่อยๆ สลายกลูโคสออกมาอย่างช้าๆ จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้

เลี่ยงรสเค็ม

อาหารส่วนใหญ่มีเกลือโซเดียมเป็นองค์ประกอบในปริมาณสูง มีอยู่ในอาหารทั่วไปเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นซอสปรุงรส น้ำปลา ขนมกรุบกรอบ อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป และอาหารที่มีรสเค็มทุกชนิด จึงเป็นไปได้ว่าเรามักจะได้รับโซเดียมเกินความต้องการของ ร่างกาย แม้ว่าโซเดียมจะมีประโยชน์ช่วยควบคุมปริมาณน้ำและความดัน-เลือดในร่างกาย แต่การได้รับโซเดียมมากเกินไปจะก่อให้เกิดโรคความดัน-โลหิตสูงได้ โดยในผู้ใหญ่แนะนำว่าควรได้รับประมาณวันละไม่เกิน 1,100-3,300 มิลลิกรัม

ระวังภัย 7 โรคร้าย ...ด้วยการกินให้ถูกวิธี

ถ้าคุณเป็นคนกินไม่เลือก ตามใจลิ้นอยู่ร่ำไป เมื่อร่างกายที่อยู่ในภาวะโภชนาการไม่ดีไปนานๆ ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาโรคเรื้อรังต่างๆ ขึ้นตามมาได้ ซึ่งโรคหลักๆ จากอาหารมีอยู่ไม่มากตามที่เกริ่นไว้แต่ต้น ดังนั้นถ้าสายเสียแล้วที่จะแก้ไข การเลือกวิธีโภชนบำบัด (diet therapy) ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย เพื่อให้การรักษาได้ผลอย่างเต็มประสิทธิภาพ ร่วมไปกับการรักษาทางการแพทย์

เป็นเบาหวานต้องคุมน้ำตาล

โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้เซลล์ต่างๆ ทำงานได้น้อยลง รวมทั้งเกิดความผิดปกติในการเผาผลาญสารอาหารด้วย ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก เบาหวานสามารถควบคุมได้ด้วยการควบคุมอาหาร ซึ่งสำคัญมากกว่าการรักษาด้วยยา ควรงดเว้นอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาล ทุกชนิด จำกัดปริมาณผลไม้ และธัญพืชต่างๆ รวมทั้งข้าว เพราะจะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด รับประทานผักประเภทใบที่มีใยอาหารสูงให้มากขึ้นในปริมาณไม่จำกัด เช่น ผักบุ้ง ผักกาดขาว ส่วนอาหารจำพวกโปรตีนยังสามารถกินได้ปกติ แต่ควรระมัดระวังเรื่องน้ำหนักตัว เพราะจะส่งผลโดยตรงกับอาการของเบาหวาน การคุมอาหารควรทำไปพร้อมไปกับการควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

อาหารกับโรคหลอดเลือดแข็งและโคเลสเตอรอล

ภาวะไขมันในเลือดสูงจะมีผลให้ไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือดจนขาดความยืดหยุ่นและ อุดตันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ถ้าเกิดการอุดตันจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย (myocardial infarction) และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ไขมันที่พบว่าเกิดการสะสม คือ โคเลสเตอรอล เพื่อความปลอดภัยองค์การอนามัยโลกได้เสนอให้ควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดให้ต่ำกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร เมื่อโคเลสเตอรอลได้จากอาหาร การควบคุมโดยลดการกินไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันจากสัตว์ ไข่แดง นม น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม เพิ่มปริมาณอาหารที่มีใยอาหารให้มากขึ้น เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวโอ๊ต เพราะใยอาหารจะจับกับ โคเลสเตอรอลในลำไส้เล็กทำให้ถูกดูดซึมได้น้อย และจะถูกขับออกมาทางอุจจาระ นอกจากนี้ แหล่งไขมันที่ควรได้รับในแต่ละวันควรมาจากไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำข้าว อย่างน้อย 10-12% ของพลังงานทั้งหมด

ควบคุมสัดส่วนอาหารต้านโรคอ้วน

น้ำหนักตัวเกินมาตรฐานเกิดจากร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ จึงเกิดการสะสมในรูปของไขมัน จนอาจทำให้การทำงานของร่างกายผิดปกติและเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน ข้ออักเสบ และระบบทางเดินหายใจ การรักษาจะต้องเริ่มจากสาเหตุ คือควบคุมปริมาณการกินอาหารให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม และออกกำลังกายให้มากขึ้น ในส่วนของอาหารนั้นจำเป็นต้องกินอาหารให้ครบทุกมื้อ แต่ลดพลังงานลงวันละ 500 แคลอรี จะสามารถ ลดน้ำหนักลงได้สัปดาห์ละ 1/2 กิโลกรัม เช่น เปลี่ยนจากกินข้าวมาเป็นผักที่มีใยอาหารสูงเพื่อให้อิ่มนานขึ้น งดอาหารที่มีไขมันมาก เช่น เนื้อติดมัน อาหารทอด และงดอาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารทุกมื้อควรมีปริมาณโปรตีนที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอ เช่น ถั่วชนิดต่างๆ แทนที่จะเป็นเนื้อสัตว์ที่มักจะมีไขมันสูง

โปรตีนต่ำเพื่อพยุงโรคไต

ไต ทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย แต่ส่วนใหญ่จากการเผาผลาญของโปรตีน ดังนั้นอาหารที่ทำให้ไตต้องทำงานหนักมากขึ้นในการขับถ่ายของเสีย คือ โปรตีน โรคเกี่ยวกับไตมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่โดยสรุปก็คือทำให้ไตไม่สามารถทำหน้าที่อย่างปกติได้ หลักสำคัญในการรักษาด้วยอาหารคือช่วยให้ไตทำงานน้อยลง เพื่อให้ไตได้มีโอกาสพักหรือฟื้นตัว และลดการคั่งของของเสีย อาหารที่รับประทานควรจะมีปริมาณโปรตีนน้อย แต่เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ เพื่อนำไปช่วยเสริมสร้างทดแทนเนื้อเยื่อต่างๆ ที่สูญเสียไป แต่สำหรับผู้ที่เป็นไตวายเรื้อรังจะมีระดับฟอสเฟตในเลือดสูง จำเป็นต้องงดโปรตีนที่มาจากนม ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ และไข่ เพราะเป็นอาหารที่มีปริมาณฟอสเฟตสูง เมื่อจำกัดปริมาณโปรตีนในอาหารแล้ว พลังงานส่วนใหญ่ที่ได้รับจึงมาจากน้ำตาล ไขมัน และแป้งที่มีโปรตีนน้อย เช่น วุ้นเส้น แป้งมัน ข้าวโพด มันสำปะหลัง วุ้น ลูกชิด สาคู เป็นต้น รวมทั้งจำกัดการได้รับโซเดียม โดยหลีกเลี่ยงสารปรุงรสที่มีเกลือโซเดียมเป็นองค์ประกอบทั้งสิ้น

โรคความดันโลหิตสูงต้องระวังเกลือ

ความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากแรงดันภายในหลอดเลือดแดงสูงตลอดเวลา โดยแรงดันค่าสูงสุด (systolic blood pressure) และแรงดันค่าต่ำสุด (diastolic blood pressure) มีค่าสูงกว่า 160/95 โรคความดันโลหิตสูงจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมามากมาย คือหลอดเลือดแดง ไม่แข็งแรง เลือดไปเลี้ยงไม่สะดวก โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นในบริเวณอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ สมอง ไต หรือจอตา ก็จะส่งผลให้เกิดอันตรายหรือถึงแก่ชีวิตได้ หลักการรักษาโรคความดันโลหิตสูงคือการควบคุมอาหาร การลดน้ำหนักลงให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมทั้งหลีกเลี่ยงความเครียด การดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ อาหารที่ควรจำกัดคืออาหารที่มีเกลือหรือโซเดียมอยู่มาก เพราะโซเดียมที่อยู่ในเกลือจะทำหน้าที่ในการควบคุมสมดุลแรงดันของผนังเซลล์ และปริมาณน้ำในร่างกาย อาหารที่มีเกลือโซเดียมมาก ได้แก่ น้ำปลา ซอสปรุงรสต่างๆ อาหารทะเล และยาบางชนิด นอกจากนี้ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันมาก เพราะจะทำให้การควบคุมน้ำหนักเป็นไปได้ยาก โดยน้ำหนักที่เกินมาตรฐานจะทำให้หัวใจ ทำงานหนักมากขึ้นด้วย

โรคเกาต์กับกรดยูริค

โรคเกาต์เกิดจากการที่ร่างกายมีระดับกรดยูริค (uric acid) ในเลือดสูง ร่างกายได้รับกรดยูริคจากอาหาร และจากการสังเคราะห์ขึ้นในร่างกายโดยการสลายตัวของเซลล์ต่างๆ โดยจะมีอาการปวดที่เกิดจากการอักเสบของบริเวณที่มีการสะสมของกรดยูริค โดยเฉพาะบริเวณเนื้อเยื่อข้อต่อของกระดูก ทำให้ข้อกระดูกเสื่อม และกระดูกบริเวณนั้นผิดรูปได้ อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเกาต์จะต้องมีสัดส่วนของสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นแหล่งของกรดยูริค เช่น เครื่องในสัตว์ ถั่วต่างๆ ไข่ปลา ชะอม กะปิ ปลาซาร์ดีนกระป๋อง สัตว์ปีก กุ้งชีแฮ้ หอย น้ำต้มกระดูก ซุปก้อน ปลาขนาดเล็ก เห็ด กระถิน ยีสต์ ปลาอินทรีย์ เป็นต้น ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ควรกินอาหารที่มีไขมันน้อยลงเพื่อให้น้ำหนักลดลง ถ้ากินไขมันมากเกินไปจะทำให้ขับถ่ายกรดยูริคได้ไม่ดี แต่อย่างไรก็ดีไม่ควรได้รับอาหารที่มีพลังงานต่ำจนเกินไป เพราะร่างกายจะมีการสลายไขมันจากเนื้อเยื่อ ออกมาใช้ ทำให้มีปริมาณกรดยูริคสะสมเพิ่มขึ้นและขับถ่ายออกจากร่างกายลดลง น้ำตาลและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ควรงดเพราะมีผลต่อการขับถ่ายกรดยูริคด้วยเช่นกัน

ระวังอาหารห่างไกลโรคมะเร็ง

มะเร็ง (cancer) เป็นเนื้อเยื่อที่เจริญเติบโตผิดปกติ โดยจะขยายเซลล์ไปทำลายเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้เคียง รวมทั้งกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ด้วย พบว่าอัตราการเสียชีวิตของประชากรโลกจากมะเร็งเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปัจจัยภายนอกที่เป็นตัวกระตุ้น ได้แก่ มลพิษจากสภาพแวดล้อมและอาหาร ข้อมูลต่างๆ จากการศึกษาพบว่าพฤติกรรมการกินอาหารมีผลกับการเกิดโรคมะเร็งมาก เพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจึงควรปฏิบัติดังนี้

•จำกัดอาหารที่มีปริมาณโคเลสเตอรอลสูง เนื่องจากพบว่ามะเร็งในลำไส้ใหญ่มักเกิดในกลุ่มผู้ที่กินอาหารที่มีไขมันและโคเลสเตอรอลสูงเป็นเวลานานๆ
•หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองหรือรมควันที่จะก่อให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
•กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะผักที่มีสารซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็ง ได้แก่ อินดอล (indole) อะโรมาติกไอโซไทโอไซยาเนต (aromatic isothiocyanate) ในดอกกะหล่ำม่วง บร็อคโคลี รวมทั้งผักและผลไม้ที่เป็นแหล่งของวิตามินซีและอี เช่น มะเขือเทศ ส้ม มะนาว จมูกข้าวสาลี ดอกคำฝอย ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ที่จะช่วยลดการทำลายของเนื้อเยื่อที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง

สำหรับแนวทางการจัดอาหารสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็ง คือ ให้มีสารอาหารครบสัดส่วนตามที่ร่างกายต้องการ โดยอาจจำเป็นต้องแบ่งอาหารออกเป็นหลายมื้อ ดัดแปลงอาหารให้น่ากิน รสชาติดี เนื่องจากความบกพร่องของระบบย่อยอาหารและปัญหาด้านจิตใจ ที่สำคัญควรเป็นอาหารที่ปรุงสุก

จะเห็นได้ว่าอาหารที่ดีนอกจากปรุงแต่งรสชาติได้อร่อยถูกใจแล้ว การเลือกสรรสารอาหารให้ได้สัดส่วนและเหมาะสมกับแต่ละคนยังเป็นการป้องกันโรคได้ หรืออย่างน้อยการระวังในการกินสักหน่อยก็ทำให้คนเราอยู่กับโรคต่างๆ ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ลำบากมากนัก ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับอาหารที่คุณกินในแต่ละมื้อเพื่อการมีสุขภาพที่ดี เพราะ You Are What You Eat... ก็ยังคงเป็นจริงเสมอ